วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วง นูโว


สมาชิก


1.จิรายุส วรรธนะสิน (โจ) กีต้าร์ / ร้องนำ
2.สหรัถ สังคปรีชา (ก้อง) กีต้าร์ / ร้องนำ
3.นรศักดิ์ รัตนเวโรจน์ (จอห์น) คีย์บอร์ด,ซินทิไซเซอร์ / ร้องนำ
4.ปีเตอร์ แอนโทนี่ แฮมมอนด์ (เต๋อ) คีย์บอร์ด
5.สุรชัย สุนทรธาดากุล (สุ) เบส
6.ชยุต บุรกรรมโกวิท (ใหม่) กลอง


ประวัติ


นูโวเป็นวงดนตรีเล่นตามดิสโก้คลับโดยการรวมตัวของจิรายุสและก้อง สหรัถมารู้จักกับจอห์น รัตนเวโรจน์ เต๋อ สุและใหม่ ได้ตั้งวงขึ้น ใช้ชื่อว่า วงไฮสกูล เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วได้เข้ามาที่บริษัทแกรมมี่เมื่อปี 2531 ชุดแรก เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย ชุดต่อมา บุญคุณปูดำ (2533) สุด สุดไปเลย...ซิ (2534) ออกซิเจน (O2) (2535) Nouveau (2547) และ Now 20. (2551) โดยอัลบั้มชุดล่าสุดได้มาสังกัดค่าย โซนี่ บีเอ็มจี
ถ้าไม่นับอัลบั้มที่ออกในนามนูโว ศิลปินในวงยังมีผลงานอื่นๆ ที่แยกตัวออกมาอีกมากมาย
- จอห์น นูโว เคยร้องเพลงประกอบละครเรื่อง สนทนาประสาจน เพลงชื่อ รอหน่อยแล้วกัน
- โจ นูโว เคยร้องเพลงประกอบละครเรื่อง รักหลอกๆ อย่าบอกใคร
- จอห์น รัตนเวโรจน์ อัลบั้ม solo
- จอห์น รัตนเวโรจน์ อัลบั้ม คน หุ่นยนต์ ต้นข้าว
- จิรายุส วรรธนะสิน เพลงประกอบละคร "แก้ว" แสดงนำด้วย ออกอากาศทางไอทีวี
- โจ ก้อง รวมกันเฉพาะกิจ ยังคงอยู่กับแกรมมี่
- โจ ก้อง Happening อยู่สังกัด ฟิลฮาร์โมนิค
- โจ ก้อง สดุดี กลับมาอยู่แกรมมี่ภายใต้สังกัด มอร์มิวสิค
- สหรัถ สังคปรีชา LOVE SCENES LOVE SONGS รวมเพลงละครที่ก้องร้องเอาไว้
- ก้อง นูโว ได้ร้องเพลงละคร ช่อง 3 เสือ ,เจ้าสาวที่กลัวฝน ผลงานของเต๋อ เรวัต , ก็ว่าจะไม่รัก ในเพลงไกลรักของสุชาติ ชวางกูร และละอองดาว ช่อง 5 นอกจากนั้นยังร้องเพลง ทำดีได้ดีของวสันต์-อัสนี ในอัลบั้มลงเอยพี่น้องร้องเพลงอัสนี-วสันต์


**ที่มาของชื่อนูโว


นูโวเขียนเป็นภาษาอังกฤษ Nuvo ที่จริงเขียนว่า Noveau จะเด่นกว่านูโวเป็นภาษาฝรั่งเศสหมายความว่า ใหม่



ผลงาน


1. เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย (พ.ศ. 2531)

คึกคักบ่อยเลย
ไม่เป็นไรเลย
ทนเลย
ถังขยะเลย
บอกอย่างงั้นอย่างงี้เลย
คางคกร่าเริงเลย
เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย
ของมันได้อยู่เลย
หลอกกันเล่นเลย
ปล่อยไปตามลมเลย



2.บุญคุณปูดำ(พ.ศ. 2533)

สัญชาตญาณบอก
บุญคุณปูดำ
โง่งมงาย
หลบไปเลยไป
ยอมแล้วยอมอีก
เพื่อนกับพ่อ
กวีบทเก่า
คัดมาอย่างดี
โลกเราสวยงาม
ไม่มีคำตอบ



3.สุดสุดไปเลย...ซิ (พ.ศ. 2534)

ไร้กันมัก...บ่าม็อก (รักกันมั้ย...บอกมา)
สุดสุดไปเลย
สัญญาปากเปล่า
หมดคำถาม
เกี่ยว
เก็บไว้ให้เธอ
หน่วยกล้าอาย
ไม่เข้าใจ
หลุมหลบภัย
ครั้งนี้คงถูกใจ
เก่าไป...ใหม่มา
ลืมไปไม่รักกัน



4.ออกซิเจน (O2)(พ.ศ. 2535)

นิยามรัก
ทารุณ
มาลองดูสักที
ฉันยังคงอยู่
หลับตา (โต๋)
สองคนในร่างเดียว
ทำได้หรือเปล่า
ตกลงจะซื้อมั้ย
เก็บไว้จำ
ทนทนเอาหน่อย



5.Nouveau (พ.ศ. 2547)

รักเธอ...เบื่อเธอ
เธอบอก...เธอหลอก
หนักนิดเบาหน่อย
ตึงไป...หย่อนหน่อย
ฟ้าจะสดใส (เพื่อเธอ)
เธอชัดเจน
สักวันคงเจอ
เบาเบา
ใจจะขาด
เธอ



6.Now 2.0 (พ.ศ. 2551)
Love You Never Die
จะรักเธอมากกว่านั้น
คิดถึงหรือเหงา
เป็นอันสมควร
ของขวัญจากฟ้า
เสียงของเพื่อนเก่า
เธอสวยงาม โลกสวยงาม



ผลงานพิเศษ



ร่วมร้องเพลง "โลกสวยมือเรา" (โจ จอห์น ก้อง)
ร่วมร้องเพลง "มือขวาสามัคคี" (นูโว)
ร่วมร้องเพลง "แผ่นดินของเรา" (โจ จอห์น ก้อง)
ร่วมร้องเพลง "รักนี้ไม่มีเอดส์" (จอห์น ก้อง)
ออกคอนเสิร์ตครั้งแรกรายการถ่ายทอดสด 7 สี คอนเสิร์ต พ.ศ. 2531
คอนเสิร์ต 25 ปี นิติพงษ์ ห่อนาค พ.ศ. 2550
Nuvo (นูโว เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย)The Long Play Collection
เปลี่ยนจากเทปเป็นซีดี พ.ศ. 2551
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ เวอร์ชัน อแคปเปล่า ในอัลบั้ม "งานซนคนดนตรี" 10 ปีแกรมมี่ (ปี 2536)
อัลบั้ม Rock Zone (2537) มีเพลง "คาใจ" (โจ), "ยุ่งน่า" (จอห์น) และ "ขอแค่ได้รู้" (ก้อง)
อัลบั้ม Guitarman Project เพลง "While my guitar gently weeps" (โจ ก้อง)
อัลบั้ม พี่น้องร้องเพลงลงเอย อัสนี-วสันต์ มีเพลง "สุขใจ" (โจ ก้อง) และ "ทำดีได้ดี" (ก้อง)
ร่วมร้องเพลง "ขวานไทยใจหนึ่งเดียว" (โจ ก้อง จอห์น)
ร่วมร้องเพลงพระราชนิพนธ์ "ลมหนาว" ในอัลบั้มพิเศษชุด H.M. Blues ร้อง บรรเลง เพลงของพ่อ (โจ ก้อง จอห์น)(2549)
คอนเสิร์ต Nuvo in Love (2544)
คอนเสิร์ต Nuvo Now Showing (2551)
NUVO For Peace in Thailand "ถอยกันสักก้าวหนึ่ง"



รางวัล


นูโว ได้รับรางวัลสีสันอวอร์ด ครั้งที่ 1 ประจำปี 2531 เป็นศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จากอัลบั้ม ”เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย”


วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วง แบล็คเฮด


แบล็คเฮด (อังกฤษ: Black Head)
คือกลุ่มนักดนตรีวงร็อก ที่เกิดจากการรวมตัวของอดีตนักร้องและนักดนตรีวง ยูเรเนียม ซึ่งก็คือ
อานนท์ สายแสงจันทร์(ร้องนำ กีต้าร์) และ สมทบ สมมีชัย (ร้องประสาน กีต้าร์เบส)
จากวงบิ๊กกัน อภิสิทธิ์ พงศ์ชัยสิริกุล (ร้องประสาน/นำ กีต้าร์โซโล)
วิโรจน์ เจริญพิพัฒน์สิน (ร้องประสาน กลอง)
พวกเขารวมตัวกัน และเล่นดนตรีกลางคืนใน Rock Pub ก่อนจะทำอัลบั้มออกมาออกสู่สายตาประชาชน

ผลงาน

อัลบั้มเต็ม
The Album Blackhead (พ.ศ. 2538)
ทน
บัญชีดำ
ความทรงจำ
เฉยๆ
คน
ยืนยัน
คำถามสำคัญ
ไอ้เข้
วิตใคร วิตมัน
สักคน

Full Favor (พ.ศ. 2540)
หนักหัวใคร
สัญญา horn section
หลอน
เรื่องจริง จริงๆ
ตายไปเลย
ขอร้อง
I wanna flush you
Mr.ใหม่
ยังไม่สาย
Will you ever be with me
สัญญา
ขอร้อง บรรเลง

Pure (พ.ศ. 2542)
ยิ่งโต ยิ่งสวย
รักเธอกับฟักทอง
อยู่ไป ไม่มีเธอ
อย่ามีปัญหาบ่อย
หมดใจ
โอกาส
ดีอยู่แล้ว
ถาม
สู้มั้ย
อย่าเสียน้ำตา

Basic (พ.ศ. 2544)
คุ้มมั้ย
ยอมรับ
ใจฉันอยู่กับเธอ
กลืน
เหล้าจ๋า medley
ใครมาเอามันไปไหน
รักคือ
ลืม
แล้วแต่เธอ
เท่านั้นเหรอ

Handmade (พ.ศ. 2546)
เพื่อใคร
เหตุผล
มารักกับพี่
ไม่เป็นไร
หน้าด้านๆ
ฉันอยู่ตรงนี้
ไหงหยั่งงี้
ฝันดี
Save me
ตัดสินตัวเอง

Ten (พ.ศ. 2548)
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด
โชคชะตา
น้องเอย
ขอลอง
ใจร้าย
กระบี่อยู่ที่ใจ
เบื่อรำคาญ
ที่ไหนก็มี
มีความสุขหรือเปล่า

Deep (พ.ศ. 2550)
แปลกแต่จริง
จังหวะชีวิต
เธอได้ยินไหม
ภวังค์
วันทอง
ไม่เข้าใจ
บาดเล็กเจ็บลึก
หมดชีวิตที่ฉันมี
แม่พระ
ลวดลาย

อัลบั้มพิเศษ
Mini Album : Black List
ทน
บัญชีดำ
ยืนยัน
ความทรงจำ

Blackbonus
เพียงกระซิบ
เพลง ร
ความทรงจำ acoutic
ยืนยัน acoutic
วีณาแกว่งไกว
Break up
ความทรงจำ new
ยืนยัน disco

Black Live
ไอ้เข้+ทน
ความทรงจำ new
เพลง ร
สักคน
เพียงกระซิบ+บัญชีดำ
ยืนยัน
Breack up
วีณาแกว่งไกว
ยืนยัน 3 ช่า

Relax
เธอนั่นแหละ (ตอแหล)
เพียงเธอ
ซ้ำๆ
จึงมีวันนี้
เพียงครึ่งใจ live at Ch.V
ขอร้อง live at Ch.V
Fall in love
ทน
สัญญา
ขอร้อง
Original จึงมีวันนี้


รางวัลที่ได้รับ
ในปี พ.ศ. 2540 หลังจากออกอัลบั้ม Full Favor แบล็คเฮด ได้รับรางวัลจากงานสีสันอวอร์ด ครั้งที่ 10 ถึง 3 รางวัล ได้แก่

รางวัล ศิลปินกลุ่มร็อกยอดเยี่ยม
รางวัล อัลบั้มร็อกยอดเยี่ยม
รางวัล เพลงร็อกยอดเยี่ยม จากเพลง หลอน

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วง ยูเรเนียม

ยูเรเนียม (Uranium) เป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลสัญชาติไทย
มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน และ 3 คน ในชุดที่สอง
ออกอัลบั้มมาทั้งหมด 2 ชุด ระหว่างปี พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2536

ผลงาน


ปฏิกิริยาร็อค (พ.ศ. 2535)


1.ปฏิกิริยา (3:54)
2.ธาตุแท้ (4:37)
3.ให้หมดเลย (3:59)
4.จะฝ่าฟัน (3:21)
5.ถึงเวลาแล้ว (3:20)
6.หัวจิตหัวใจ (4:00)
7.มีอะไรบ้างไหม (3:53)
8.ปรากฏการณ์ฝน (4:12)
9.รักสูตรใหม่ (3:30)
10.ลูกผู้ชาย (3:18)


อัด-สะ-จอ-รอ-หัน (พ.ศ. 2536)


1.อัด-สะ-จอ-รอ-หัน (3:54)
2.สวมเขา (4:12)
3.ดักดาน (4:27)
4.ทะลุ-ทะลวง (3:27)
5.ห่วยแตก (3:59)
6.สมควรตาย (3:38)
7.สับแหลก (4:34)
8.หัวใจเถื่อน (3:52)
9.เอาไปเผาไฟ (3:37)
10.กำแพงเมืองจีน (4:05)

ประวัติ


ยูเรเนียม มีนักร้องนำคือ (ปู) อานนท์ สายแสงจันทร์ มีผลงานชุดแรกชื่อชุด ปฏิกิริยาร็อค ในปี พ.ศ. 2535 สังกัดกับค่าย เอสพี ศุภมิตร ซึ่งเป็นบริษัทของช่อง 3 มีเพลงที่ได้รับความนิยม คือ ปฏิกิริยา หัวจิตหัวใจ และ ปรากฏการณ์ฝน เป็นต้น ในระหว่างนี้มีข่าวออกมาว่า ปู เป็นแฟนกับ พาเมล่า บาวเด้น นักร้องสาวค่ายเดียวกันที่ออกอัลบั้มเป็นชุดแรกด้วย
จากนั้นในปี พ.ศ. 2536 สมาชิกในวงเหลือเพียง 3 คน ได้ออกอัลบั้มชุดที่สอง คือ อัด-สะ-จอ-รอ-หัน มีเพลงที่ได้ความนิยมคือ อัด-สะ-จอ-รอ-หัน และ สมควรตาย
ยูเรเนียม ออกอัลบั้มมาทั้งหมด 2 ชุด ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากนักเมื่อเทียบกับวงเฮฟวี่เมทัลในยุคเดียวกัน อย่าง ไฮ-ร็อก หรือ หิน เหล็ก ไฟ
จากนั้นสมาชิกในวงก็แยกย้ายกันออกไปทำงานของตัวเอง เช่น ปู และ (ต๋อง) สมทบ สมมีชัย มือเบสก็ออกไปตั้งวงแบล็คเฮด ในแนวอัลเทอร์เนทีฟ ในปี พ.ศ. 2538 ซึ่งประสบความสำเร็จกว่า

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

วง คาไลโดสโคป


วงคาไลโดสโคป Kaliedoscope เป็นวงดนตรีที่เล่นแนว ฮาร์ดร็อก, เฮฟวี่เมทัลภาคภาษาไทย กล่าวกันว่าเป็นวงดนตรีเฮฟวี่เมทัลของประเทศไทยวงแรก


ประกอบด้วยสมาชิก


1. อิราวัต บุนนาค หรือ "ต้อม คาไลโดสโคป" มือเบสคุณภาพ หัวหน้าวง และเป็นผู้ก่อตั้ง "คาไลโดสโคป" ที่ได้สร้างปรากฏการณ์วงการเพลงให้กลายเป็นยุคทองของเพลงร็อค แอนด์ โรล์ กับเพลงดังอมตะ "เพราะเรานั้นคู่กัน" เพลงประกอบโฆษณาครีมเทียมที่เป็นโฆษณาชิ้นแรกที่ใช้เพลงเป็นสื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายในวงการโฆษณา

2. เอ็ดเวิร์ด แวนโซ นักร้องนำ เสียงแหบเสน่ห์ เจ้าของฉายา " ร็อด สจ๊วตเมืองไทย "

3. ศิริศักดิ์ ศิริโชตินันท์ "หมู คาไล" มือกีตาร์ระดับชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของประเทศไทย

4. กิตติ กาญจนสถิตย์ "กิตติ กีต้าร์ปืน" มือกีต้าร์ยุคบุกเบิกของวง

5. อรรถพร ชูโต "อ้วน" กีตาร์-คีย์บอร์ด



ผลงานเพลง


ปี 2536 อัลบัม "กระชากใจ" มีเพลงฮิต "เพราะเรานั้นคู่กัน"

ปี 2537 อัลบัม "เหนือกาลเวลา"

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ชัคกี้ ธัญญรัตน์


ชัคกี้ ธัญญรัตน์


ชื่อ ชัคกี้ ธัญญรัตน์

ชื่อจริง ชูศักดิ์ ธัญญรัตนางกูร ( บุ๋ม)

ฉายา กีตาร์เทพ

เกิด 13 มิถุนายน พ.ศ. 2498

เสียชีวิต 10 มิถุนายน พ.ศ. 2540 ด้วยโรคไตวาย

จบวิชาการดนตรีจากต่างประเทศ

เคยมีผลงานร่วมวงร็อคเคสตร้า ร่วมกับชัชชัย สุขขาวดี ในอัลบั้มที่ 2 "เทคโนโลยี" (2527) และ อัลบั้มที่ 3 "Special One" (2528)

เคยร่วมงานกับวงคาไลโดสโคป วงบลูแพลนเนต (มี ปู แบล็กเฮด เป็นนักร้องนำ)
เคยร่วมงานกับ คาราวาน ในชุด "อานนท์" และ "1985" มีผลงานเดี่ยวชื่อชุด "ศรัทธา" (2528) ร่วมงานกับ นุภาพ สวันตรัจน์, ปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล และ อู๊ด ยานนาวา, มงคล อุทก และสุรชัย จันทิมาธร จากวงคาราวาน

ผลงาน

ร็อคเคสตร้า - เทคโนโลยี (2527)
ร็อคเคสตร้า - Special One (2528)
ชัคกี้ ธัญรัตน์ - ศรัทธา (2528)
คาราวาน - อานนท์ (2532)
คาราวาน - 1985
ชัคกี้ ธัญญรัตน์ และ บลูแพลนเนต - พาฝัน (2533)
ไวท์ แมจิค
โดม มาร์ติน - กุหลาบไฟ



วง บัตเตอร์ฟลาย

ในโลกแมลง วงจรชีวิตของผีเสื้อนั้นสั้นนัก พันธุ์ที่อายุยืนที่สุด ก็แค่ 1-2 สัปดาห์ แต่มีผีเสื้อพันธุ์หนึ่งอายุยืนยาวกว่านั้น แม้อาจไม่เคยบรรจุอยู่ในตำราด้านกีฎวิทยา หรือไม่เคยเป็นที่รู้จักในโลกแมลง แต่ตราตรึงอยู่ในหัวใจคนดนตรีแ ละในโลกแห่งเสียงเพลงมาเกือบ 30 ปี

วงจรของผีเสื้อที่อาจกล่าวได้ว่าอายุยืนที่สุดในโลกพันธุ์นี้เริ่มตั้งแต่ 28 ปีที่แล้ว (2521) เมื่อกลุ่มคนดนตรีหัวก้าวหน้าอย่าง จิรพรรณ อังศวานนท์ สุรสีห์ อิทธิกุล ดนู ฮันตระกูล กฤษณ์ โชคทิพย์วัฒนา ร่วมกันก่อตั้งบริษัท บัตเตอร์ฟลาย ซาวนด์แอนด์ฟิล์ม เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเปรียบได้กับขุมพลัง ในการผลิตผลงานคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ เพลงโฆษณา เพลงละครเวที ตลอดจนโปรดักชั่นเพลงในอัลบั้มต่างๆ ทำให้บัตเตอร์ฟลายได้แพร่พันธุ์ผลงานเป็นวงกว้าง และขยายวงปีกแห่งผีเสื้อโดยมีผองเพื่อนอย่าง บรู๊ซ แกสตัน,อัสนี โชติกุล, สินนภา สารสาส ,อุกฤษฎ์ พลางกูร, เขตต์อรัญญ์ เลิศพิพัฒน์ มาเสริมกำลังทัพ เพิ่มผลงานในแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วงฟองน้ำ วงบัตเตอร์ฟลาย โรงเรียนดนตรีศศิลิยะ อัลบั้มเรามาร้องเพลงกัน (เรวัต พุทธินันทน์ และคีตกวี) ตลอดจนมีบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาร่วม เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการเพลงไม่ว่าจะเป็น พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา โสฬส ปุณกะบุตร คณิต พฤกษ์พระกานต์ ฯลฯ ตราบกระทั่งคณะบุคคลทั้งหลายในนามบัตเตอร์ฟลายได้ชื่อว่า เป็นตำนานบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เพลงไทยจนวันนี้

เป็นที่เลื่องลือว่าในยุค 80 บัตเตอร์ฟลายได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ทรงพลัง และมีผลงานในวงการชุกที่สุด เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของเพลงโฆษณาทั้งหลายที่ได้ยินผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงนั้นล้วนเป็นผลงานจากพลพรรคในดินแดนผีเสื้อ และหลายผลงานไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ เพลงโฆษณา หรืออัลบั้มเพลงต่างๆ อาทิ อัลบั้ม บัตเตอร์ฟลาย1,2 และ แอ๊กชั่น ของวงบัตเตอร์ฟลาย เรามาร้องเพลงกัน ของเรวัต พุทธินันทน์ และคีตกวี ก็ได้ชื่อว่าเป็นที่สุดแห่งเพลง จนเป็นแม่แบบในการทำงานของคนรุ่นหลังเรื่อยมา ทว่า เมื่อเวลาพ้นผ่าน เหล่าผีเสื้อ ก็ได้โบยบินไปก่อร่างสร้างเส้นทางในแบบเฉพาะของตน ระหว่างนั้น หลายคน อาทิ กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา เรวัต พุทธินันทน์ อัสนี โชติกุล พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา โสฬส ปุณกะบุตร คือ กำลังหลักในบริษัทเพลงที่กาลต่อมาเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเพลงในชื่อ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อีกหลายคนก็มีหนทางเฉพาะตน อย่าง บรู๊ซ แก๊สตัน กับวงฟองน้ำ ดนู ฮันตระกูล กับวงไหมไทย จิรพรรณ อังศวานนท์ กับโปรเจ็กต์เอกรงค์ ที่ทำร่วมกับสินนภา สารสาส และเอครูมิวสิค บริษัทโปรดักชั่นและสตูดิโอสอนดนตรี พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กับ Gen X Academy ชื่อบัตเตอร์ฟลายจึงดูเหมือนยุติบทบาทในการผลิตผลงานใหม่ๆ แต่ยังคงอยู่ในใจของคนที่ชื่นชมผลงาน ของพวกเขาเยี่ยงครูเสมอ

จนวันนี้ ชื่อ บัตเตอร์ฟลาย กลับมาอีกครั้ง ในฐานะของค่ายเพลงและบริษัทมิวสิคโปรดักชั่น ที่เชื่อใจได้ในเรื่องคุณภาพ โดยการนำของ คณิต พฤกษ์พระกานต์ พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และ โสฬส ปุณกะบุตร สามทายาทที่เป็นหนึ่งในหมู่ผีเสื้อรุ่นเก๋า ตั้งแต่ครั้งในนาม บัตเตอร์ฟลาย ซาวนด์แอนด์ฟิล์ม เซอร์วิส และยังทำหน้าที่เยี่ยงฟันเฟืองหลักที่ผลักดัน การขับเคลื่อนพลังในมิติต่างๆ ทางดนตรีตลอดมา

Butterfly Records คือ ฐานทัพแห่งการสืบสานเจตนารมณ์ของมวลหมู่บัตเตอร์ฟลายรุ่นพี่ ในการผลิตผลงานคุณภาพ โดยบุคลากรคุณภาพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการจรรโลงสุนทรียภาพในวงการเพลงไทย ผลงานในสังกัดบัตเตอร์ฟลายเรคคอร์ดส มีทั้งบทเพลงจากคนดนตรีรุ่นเก๋าที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ร่วมก่อเกิดตำนานแห่งผีเสื้ออย่าง จิรพรรณ อังศวานนท์ สุรสีห์ อิทธิกุล บทเพลงจากคนดนตรีที่เคยสร้างความประทับใจแก่เหล่าคนฟัง อย่าง สมิทธิ์ แอนด์ เชน และบทเพลงจากศิลปินรุ่นใหม่ที่มีฝีไม้ลายมือทางดนตรีไม่เป็นรองใคร ตัวอย่างเช่น Ezra , FIF , Area 51 และศิลปินอีกมากมาย ที่จะทยอยนำเสนอผลงานอันหลากหลายแต่อยู่บนพื้นฐานของคุณภาพ มีความสมดุลในการผสานศิลปะและการตลาด ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าผลงานในสังกัดบัตเตอร์ฟลายจะเป็นที่ยอมรับทั้งในหมู่นักดนตรีและคนฟัง รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกลจักรที่จะผลักดันให้วงการเพลงไทยก้าวไกลต่อไป

คณะผู้บริหาร บัตเตอร์ฟลาย เรคคอร์ดส
คณิต พฤกษ์พระกานต์ Managing Director
พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา Executive Producerโสฬส ปุณกะบุตร Executive Producer
จิรายุส วรรธนะสิน Executive Promotion Director
อ้างอิง:

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธเนศ วรากุลนุเคราะห์


ชื่อ ธเนศ (เอก)

นามสุกล วรากุลนุเคราะห์

เกิด 9 กันยายน 2501

สัญชาติ ไทย


การศึกษา

ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ สาขาการโฆษณาและประชาสัมพันธ์


ผลงานการแสดงละคอนเวที
เรื่อง "38 ซอย 2"
"บาปบริสุทธิ์"
"ร้อยชีวิต"
"เทวดาตกสวรรค์"

ผลงานแต่งเพลงประกอบละครเรื่อง "พิษสวาท"

เป็นนักจัดรายการวิทยุของคลื่น ไนท์สปอร์ท

ผลงานเพลง แนวโปรเกรสซีฟร็อค

ปี2528อัลบัม แดนศิวิไลซ์

ปี2530อัลบัม คนเขียนเพลงบรรเลงชีวิต

ปี2533 อัลบัม กดปุ่ม

ปี2536 อัลบัม ร๊อกกระทบไม้

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไมโคร


วงร็อคสัญชาติไทย สมาชิกประกอบด้วย


อำพล ลำพูน(หนุ่ย) ร้องนำ

ไกรภพ จันทร์ดี(กบ) กีต้าร์ ร้องนำ

มานะ ประเสริฐวงศ์(อ้วน) กีต้าร์ ร้องนำ

สันธาน เลาหวัฒนาวิทย์(บอย) คีย์บอร์ด

อดินันท์ นกเทศ(อ๊อด) เบส

อดิสัย นกเทศ(ปู) กลอง


เมื่อปี พ.ศ. 2527 วง"เดอะ แคร็บ" ซึ่งเป็นวงดนตรีร็อก เล่นตามสถานที่ต่างๆ มีแนวที่สะดุดตาเปี๊ยโปสเตอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง จึงพาไปเล่นภาพยนตร์เรื่องวัยระเริง และเปลี่ยนชื่อวงเป็น "ไมโคร" โดยสุนทร สุจริตฉันท์ อดีตสมาชิกวงรอยัล สไปร์ส เป็นผู้ตั้งชื่อให้[ต้องการแหล่งอ้างอิง] ทำให้อำพล ลำพูน และวงไมโครมีชื่อเสียงในยุคนั้น


ในปี พ.ศ. 2529 วงไมโครออกอัลบั้มแรกคือ "ร็อก เล็ก เล็ก" สังกัด แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หลังจากจากนั้นมีผลงานต่อมาคือ "หมื่นฟาเรนไฮต์" และ "เต็มถัง"
ในปี พ.ศ. 2533 ไมโครได้แสดงคอนเสิร์ตต้อนรับนักกีฬาซีเกมส์ ในทำเนียบรัฐบาล และยังเป็นตัวแทนวงร็อกในประเทศไทย ได้ไปแสดงในงานเทศกาลร็อกนานชาติที่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น
ในปี พ.ศ. 2534 อำพล ลำพูน แยกตัวไปเป็นนักร้องเดี่ยว ไกรภพ จันทร์ดี จึงรับหน้าที่นักร้องนำแทน ไมโครมีอัลบั้มออกมาอีก 2 อัลบั้มกับแกรมมี่ และ 1 อัลบั้มจากค่ายฟีโมฮาร์นิค แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร


ผลงาน


วงไมโครมีผลงานเพลงทั้งหมด 6 อัลบั้ม


พ.ศ. ๒๕๒๙ ร็อคเล็กเล็ก


ผู้ดูแลการผลิต
อัสนี โชติกุล


ผู้อำนวยการผลิต
เรวัต พุทธินันทน์


ควบคุมเสียง
แกรี่ เอ็ดเวิร์


ช่วยควบคุมเสียง
แมง ณ ลำพูน


คำร้อง

นิติพงษ์ ห่อนาค , เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ , กฤษณา การุณย์


ทำนอง / เรียบเรียง / เสียงประสาน
กฤษณา การุณย์ , จาตุรนต์ เอมช์บุตร , ไพฑูรย์ วาทะกร , วิชัย อิ้งอัมพร , พัชรี ศาราวรรณ

บันทึกเสียง
ห้องอัดเสียงศรีสยาม



รายชื่อเพลง


อย่าดีกว่า
อู๊ดกับแอ๊ด
รักปอนปอน
อยากจะบอกใครซักคน
เรามันก็เป็นอย่างนี้
สมน้ำหน้า...ซ่าส์...นัก
ฝันที่อยู่ไกล
อยากได้ดี
จำฝังใจ
ลุง


พ.ศ. ๒๕๓๑ หมื่นฟาเรนไฮต์


รายชื่อเพลง


เอาไปเลย
จรงใจซะอย่าง
หมื่นฟาเรนไฮต์
พายุ
ใจโทรมๆ
บอกมาคำเดียว
ลองบ้างไหม
รักคุณเข้าแล้ว
คิดไปเองว่าดี
โชคดีนะเพื่อน


พ.ศ. ๒๕๓๒ เต็มถัง


รายชื่อเพลง


ส้มหล่น
เรามันก็คน
คนไม่มีสิทธิ์
ดับเครื่องชน
รู้ไปทำไม
มันก็ยังงงงง
เติมน้ำมัน
รุนแรงเหลือเกิน
ถึงเพื่อนเรา
เปิดฟ้า


พ.ศ. ๒๕๓๔ เอี่ยมอ่องอรทัย


รายชื่อเพลง


รักซะให้เข็ด
เลือดเย็น
ไม่มีอะไรจะเสีย
สะใจแล้วซิเธอ
เฮกันหน่อย

รู้ตัวอยู่แล้ว

อีรุงตุงนัง

ตัวเราก็เท่านี้
คิดถึง (บรรเลง)
ร็อกรักร็อก


พ.ศ. ๒๕๓๘ สุริยคราส


รายชื่อเพลง


สุริยคราส
ตายเปล่า
ตายทั้งเป็น
อย่าเสียเวลา
คิดผิด-คิดใหม่
ที่เขาเรียกว่าเพื่อน
ไม่มีเหลือใคร
รักตัวเองบ้าง
มันเป็นอะไรของมัน
ลา


พ.ศ. ๒๕๔๐ ทางไกล


รายชื่อเพลง


ทำ ฅน เป็น ควาย
ทางไกล
อย่างโหดร้าย
ช้างเป็นช้าง
จากกันด้วยดี
ขี้โม้
ดูแลตัวเองด้วย
รู้ตัว
คืนนี้


เว็ปไซต์ http://www.microrockclub.com/home.html
ฝันร้าย

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อิทธิ พลางกูร


ชื่อจริง เอกชัยวัฒน์ พลางกูร


ชื่อเล่น อิท


เกิด 30 มกราคม 2498


เสียชีวิต 11 พฤศจิกายม 2547 อายุได้ 49 ปี


อาชีพ นักร้อง นักดนตรี โปรดิวเซอร์


แนวเพลง ร็อค


เครื่องดนตรี กีต้าร์


ค่าย/สังกัด อาร์ เอส โปรโมชั่น มิวสิค ออนเอิร์ธ(บริษัทในเครือแกรมมี่)


ปี 2531- 2547


เป็นบุตรของ นายแพทย์โอภาส และ แพทย์หญิง สุมาลย์ พลางกูร มีพี่ชายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงคือ อุกกฤษ พลางกูร ซึ่งอยู่ในวงบัตเตอร์ฟลาย


อิทธิจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอนุปริญญาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อิทธิเข้าสู่วงการเพลงด้วยการเป็นสมาชิกวง "เดอะ เบลสส์" ร่วมงานกับ สุรสีห์ อิทธิกุล, ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว, แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี ตระเวนเล่นดนตรีตามสถานที่ต่าง ๆ วงเดอะ เบลสส์ มีอัลบั้มออกมา 2 ชุด มีเพลงฮิตอย่าง หัวใจขายขาด และ เมื่อใดฉันไร้รัก เดอะ เบลสส์ มีอายุอยู่ 8 ปี หลังจากยุบวง อิทธิไปเป็นหุ้นส่วนทำห้องอัด "แจม สตูดิโอ" กับพี่ชาย พร้อมกับทำงานเป็นซาวนด์ เอ็นจิเนียร์


ได้รับการชักชวนจาก สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์ ให้ออกอัลบั้มชุดแรกในปี พ.ศ. 2531 ชื่อชุด "ให้ มัน แล้ว ไป" กับสังกัดอาร์.เอส.โปรโมชั่น มีเพลงที่ได้รับความนิยมคือ เก็บตะวัน จากการแต่งของธนพล อินทฤทธิ์ (ซึ่งต่อมาเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงยอดนิยมมาตราบจนปัจจุบัน และเป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของอิทธิ) , ให้มันแล้วไป, ยังจำไว้
จากนั้นอิทธิได้ออกอัลบั้มกับทางอาร์.เอส.อีกหลายชุดต่อมา เช่น "ไปต่อไป", "อิทธิ 3 เวลา" ที่มีเทียรี่ เมฆวัฒนา จากคาราบาวมาร่วมงานด้วยในเพลง กาลเวลา "อิทธิ 4 ป้ายแดง", "อิทธิ 6 ปกขาว" เป็นต้น มีเพลงที่ได้รับความนิยมอีกหลายเพลง เช่น ไปต่อไป, เราสามคน, อย่าทนอีกเลย, นายดินทราย เป็นต้น พร้อมกับทำงานเบื้องหลังเป็นโปรดิวเซอร์ควบคุมการผลิตผลงานของศิลปินในสังกัดเดียวกันอีกหลายคน เช่น อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, เรนโบว์ (พีระพงษ์ พลชนะ) เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2540 อิทธิได้ออกมาตั้งค่ายเพลงของตัวเองชื่อ มิวสิก ออน เอิร์ธ ในเครือของแกรมมี่ พร้อมกับได้ออกอัลบั้มของตัวเองคู่กับเทียรี่ เมฆวัฒนา อีกครั้ง ในชื่อชุด "ฮาร์ท แอนด์ โซล" มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น ในกำมือ, ผัดฟัก... ฟักผัด, ฆ่าไม่ตาย เป็นต้น แต่ผลงานของศิลปินคนอื่นในค่ายที่ออกตามหลังมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทำให้ต้องปิดค่ายไปในระยะเวลาต่อมาไม่นาน
ชีวิตครอบครัว อิทธิสมรสกับ นางชาญดา ลียะวณิช มีบุตรสาวด้วยกันทั้งหมด 3 คน


ในกลางปี พ.ศ. 2545 อิทธิ พลางกูร ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังในสังคม เมื่อพบว่าเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ขั้นรุนแรงแล้ว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก่อน มารู้ตัวก็ต่อเมื่อจู่ ๆ วันหนึ่งเกิดเลือดไหลจากทวารหนักอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวหมดสติ เพื่อนข้างห้องซึ่งอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกันเป็นผู้นำส่งโรงพยาบาล ซึ่งอิทธิได้เผยว่าตนเองเป็นคนชอบรับประทานน้ำอัดลมกับไอศกรีมอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำอัดลมสามารถดื่มแทนน้ำได้เลยทีเดียว ต่อมาทางอาร์.เอส.โปรโมชั่น ต้นสังกัดเก่าก็ได้ให้ความช่วยเหลือกับอิทธิและครอบครัว โดยการให้โอกาสอิทธิออกอัลบั้มอีกชุด ในชื่อชุดว่า "เวลาที่เหลือ" และทำอัลบั้มชุดพิเศษที่รวมเอานักร้อง ศิลปินในค่ายมาร้องเพลงของอิทธิขึ้นมาใหม่ ในชื่อชุด "a tribute to อิทธิ พลางกูร" และได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ขึ้นมาในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ซึ่งอิทธิและภรรยาพร้อมลูก ๆ ก็ได้ขึ้นเวทีแสดงด้วย


ท้ายที่สุดในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 อิทธิ พลางกูร ก็อาการทรุดหนัก ต้องนำส่งโรงพยาบาลบางโพ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยปั๊มหัวใจจนชีพจรเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาเวลา 14.50 น. ก็หมดลมหายใจ แพทย์ก็ช่วยปั๊มหัวใจอีกและใส่เครื่องหายใจช่วย แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ซึ่งอิทธิได้สิ้นลมหายใจเมื่อเวลา 16.00 น.
งานศพของอิทธิทำการบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน และกระทำการฌาปนกิจในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน











วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดิโอฬารโปรเจ็ค(The Olarn Project)


ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ (The Olarn Project)
ดนตรีที่เล่นเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลก่อตั้งปี พ.ศ. 2528
โดยโป่ง)ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ โอ้) โอฬาร พรหมใจ
โดยเปลี่ยนมาจากวงโซดา ซึ่งตั้งใจตั้งชื่อวงว่า " Thailand Band " แต่ โอฬารเห็นว่า อาจจะมีผลเสียต่อประเทศชาติได้ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น The Olarn Project เพราะหากเกิดอะไรขึ้น โอฬารจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตัวเอง


สมาชิกวง
ชุดก่อตั้ง

โอฬาร พรหมใจ (โอ้ - กีตาร์)
ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ (ลูกโป่ง - ร้องนำ)
พิทักษ์ ศรีสังข์ (ทักษ์ - เบส)
ฉัตรพงษ์ นิยมไทย (แตงโม - keyboard/ร้องนำ)
ชนินทร์ แสงคำชู (กุ๋งกิ๋ง - กลอง)


สมาชิกที่เข้ามาชุดที่สอง
ณรงค์ ศิริสารสุนทร (รงค์ - เบส)
Mikael Johansson (กลอง)

สมาชิกที่เข้ามาชุดที่สาม
นุสรณ์ พจน์พิพัฒน์ (ป้อ - Keyboard)
กฤษฎา จงจิตต์ (หนิง - เบส)

สมาชิกที่เข้ามาชุดที่สี่
ฐิติชนม์ พึ่งอาศรัย (บอย - ร้องนำ)
Ruba Mosan (Keyboard)
เอกมันต์ โพธิพันธุ์ทอง (มัน - กลอง)

สมาชิกที่เข้ามาชุดที่ห้า
จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย (ป๊อบ - กีตาร์)
ดำรงสิทธิ์ ศรีนาค (ปิงปอง - กลอง)


ดิ โอฬาร โปรเจ็คท์ ปัจจุบันได้กลายเป็นวงร็อกรุ่นใหญ่ที่สุขุม นุ่มลึก ละเอียด ประพันธ์เพลงได้อย่างไพเราะ กลมกล่อม
วงร็อกระดับตำนานของเมืองไทยอย่าง “ดิโอฬารฯ” ถือกำเนิดมาจากวงดนตรีที่เล่นป็อปร็อก ในนามวง “โซดา” มี สมโชค นวลนิรันดร์ (อาร์ต) ลีดกีตาร์ หัวหน้าวง, บรรจง รัตนโสภณ กลอง/ร้องนำ, ฉัตรพงษ์ นิยมไทย (โม) คีย์บอร์ด/ร้องนำ, ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ (โป่ง) ร้องนำ, โอฬาร พรหมใจ(โอ้) ลีดกีตาร์ และพิทักษ์ ศรีสังข์ (ทักษ์) เบสกีตาร์ ได้ ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา เป็นผู้จัดการวง “เต๋อ” เรวัติ พุทธินันทน์ มิกซ์ดาวน์และควบคุมการผลิต ออกผลงานมาได้เพียงอัลบั้มเดียวชื่อ “คำก้อน” แต่ไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาด วงโซดาจึงเงียบหายไปกับสายลม
แต่ทว่า ลูกโป่ง–โอ้-โม และทักษ์ กลับมาฟอร์มวงกันอีกครั้ง ในนามของวง “ดิ โอฬาร โปรเจ็กท์” ภายใต้ชื่ออัลบั้ม “กุมภาพันธ์ 2528” ได้ ชนินทร์ แสงคำชู มาตีกลอง พร้อมกับกำหนดแนวทางดนตรีตามแบบฉบับของดิโอฬารฯ เอง โปรดิวซ์กันเอง แต่งเพลงเอง โดยมี โอฬาร พรหมใจ เป็นหลักในด้านดนตรี ส่วนลูกโป่ง เป็นหัวเรือด้านเนื้อเพลง
ยุคนั้นนับได้ว่า ดิโอฬารฯ เป็นวงร็อกใต้ดินที่เล่นดนตรีได้หนักแน่นสุดๆ แถมมีเพลงบัลลาดร็อกสุดคลาสสิกอย่าง “แทนความห่วงใย” และ “อย่าหยุดยั้ง” ส่งให้วงร็อกหน้าใหม่เข้าไปครองอยู่ในใจขาร็อกทั่วทุกหัวระแหง เป็นวงหน้าใหม่ที่ดังได้ด้วยฝีมือล้วนๆ แทบจะไม่มีการโปรโมท
ทิ้งช่วงไม่นาน ดิโอฬารฯ ปล่อยอัลบั้มที่ 2 ตามมาติดๆ ชื่อ “หูเหล็ก” นักวิจารณ์พากันยกย่องว่าเป็นอัลบั้มร็อกยอดเยี่ยมแห่งปี มีเพลงเด่นๆ อย่าง คนหูเหล็ก, ขอผมสักคืน, เหนือคำบรรยาย และนำเพลง “อย่าหยุดยั้ง” มาทำเป็นเวอร์ชั่น อคูสติก ได้เพราะกินใจคนทั่วเมือง
อัลบั้มนี้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกเล็กน้อยคือ ณรงค์ ศิริสารสุนทร มาเล่นเบสแทน พิทักษ์ ศรีสังข์ ส่วนกลองได้ มิคาเอล จอห์นสัน มาตีแทนชนินทร์ แสงคำชู พิทักษ์ ศรีสังข์ กลายมาเป็นเบสรับเชิญในเพลง “เพราะรัก” ออกภายใต้สังกัด ไมล์สโตน เร็คคอร์ดของ มาโนช พุฒตาล แล้วพวกเขาก็เงียบหายไป มาโผล่อีกครั้งในงาน “ไตรภาค” แต่ไม่เต็มวง สรุปว่าวงร็อกชั้นดีอย่าง ดิ โอฬาร โปรเจ็กท์ แตกอย่างชัดเจนเมื่อ ลูกโป่ง ไปฟอร์มวงใหม่ในชื่อ “หินเหล็กไฟ”
ส่วนโอฬาร พรหมใจ ยังมุ่งมั่นทำงานภาคดนตรีที่เขารักต่อ ด้วยการออกโซโลอัลบั้ม “ลิขิตดวงดาว” อัลบั้มนี้ดนตรีเด่นแต่ได้นักร้องด้อยกว่าลูกโป่งที่เข้ากันได้ดีกับดนตรีของโอฬาร ทำให้เป็นเพียงตำนานหน้าหนึ่งของมือกีตาร์ร็อกเท่านั้น
ผิดกับ "หินเหล็กไฟ" ที่พุ่งเข้าหาการตลาดมากขึ้น ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น เมื่อต่างคนต่างมีวิถีทาง เมื่อรวมกันก็ต้องมีแยกเป็นธรรมดา
กระทั่งล่วงเวลาไป 15 ปี ดิ โอฬาร โปรเจ็กท์ ได้กลับมารวมตัวกันทำงานในแบบ “รียูเนียน” เหมือนวงต่างประเทศนิยมกัน เป็นการหวนรำลึกถึงอดีตที่เคยรุ่งเรือง และเรียกได้ว่าเป็นการทำงานทิ้งท้ายให้แฟนพันธุ์แท้สมใจกับที่รอคอย เพราะนอกจากจะนำเพลงเก่าที่เคยโด่งดังในอดีตอย่าง ไฟปรารถนา, เพราะรัก, อย่าหยุดยั้ง, แทนความห่วงใย และเหนือคำบรรยาย มาทำใหม่แล้ว
อัลบั้ม “คลาสสิก” ยังกำนัลเพลงใหม่ให้อีกถึง 6 เพลง
นักดนตรีในยุครียูเนียน ประกอบด้วยแกนนำหลักของวง อย่าง โอฬาร พรหมใจ, พิทักษ์ ศรีสังข์, ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ มี ดำรงสิทธิ์ ศรีนาค ตีกลอง แถมยังมี จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย (ป็อป เดอะซัน) มาเป็นกีตาร์รับเชิญในงานระดับตำนานครั้งนี้ด้วย
เรียกว่าเป็นอัลบั้มที่รวมไปด้วยสุดยอดมือกีตาร์แห่งยุค 2 คน เข้าด้วยกัน อันแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานสไตล์กีตาร์ที่ร้อนแรงเผ็ดร้อนของคนหนุ่มอย่าง ป็อป และกีตาร์ร็อกที่ลุ่มลึกของ โอฬาร ที่สูงวัยและมากประสบการณ์
สังเกตได้ชัดเจน ถ้าเพลงไหนที่ โอฬาร พรหมใจ แต่งทำนองและเรียบเรียง เพลงจะออกมาในฟีลที่ลึก ละเอียด บอกถึงประสบการณ์และวัยวุฒิ ส่วนเพลงที่ป็อบ เดอะซันแต่งอย่างเพลง ขอบคุณ, กำจัดมัน และเงินบนดาวอังคาร สีสันดนตรีจะออกมาในรูปแบบกร้าวแกร่งรุนแรง ดุดัน เมามัน โดยเฉพาะไลน์โซโลกีตาร์และริธึ่ม
เรียกว่า ดิโอฬาร คลาสสิก ชุดนี้ ได้ทั้งความมันและหวาน ครบรส
ถ้าเป็นแฟนโอฬารฯ มาตั้งแต่ยุคต้น ย่อมเห็นพัฒนาการทางดนตรีของสมาชิกทุกคนในวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฝีมือกีตาร์ของ โอฬาร พรหมใจที่เชี่ยวลึกจนมองไม่เห็นความเกรี้ยวกราดดังแต่ก่อน แต่กลับส่งผลดีต่อสำเนียงกีตาร์ของเขา ทำให้เพลงในยุคคลาสสิกนี้มีเสน่ห์น่าหยิบมาฟังได้บ่อยครั้งกว่า
เมื่อครั้งที่อัลบั้มนี้ออกวางแผง คอร็อกรุ่นใหม่แสดงอาการผิดหวังกับงานในรูปแบบ “คลาสสิค” (เอาไว้ลองย้อนกลับไปฟังเมื่อเวลาผ่านไปสักสิบปี ดูซิว่ายังจะยืนยันความคิดเดิมอยู่หรือเปล่า)
สำหรับคอร็อกรุ่นใหญ่ อัลบั้ม “คลาสสิก” คงตอบสนองอารมณ์ร็อกสมวัยได้ครบถ้วน เพราะนี่คืออัลบั้มที่ดีชุดหนึ่งของวงการเพลงไทย


ผลงานเพลงมีอัลบั้ม 5 ชุด
พ.ศ. 2530 - อัลบั้ม "กุมภาพันธ์ 2528 แทนความห่วงใย" ที่มีเพลงอมตะ เช่น อย่าหยุดยั้ง และแทนความห่วงใย
พ.ศ. 2532 - อัลบั้ม "หูเหล็ก"
พ.ศ. 2536 - อัลบั้มพิเศษ "ไตรภาค" (ออกชนกับอัลบั้ม หิน เหล็ก ไฟ ชุดที่ 1)
พ.ศ. 2539 - อัลบั้ม "ลิขิตดวงดาว"
พ.ศ. 2545 - อัลบั้ม "The Olarn Classic"


วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุรสีห์ อิทธิกุล





ชื่อจริง: สุรสีห์ อิทธิกุล
ชื่อเล่น: อ้อง, อ๋อง


แนวเพลง: ร็อค


อาชีพ: นักร้อง, นักดนตรี, นักแต่งเพลง


เครื่องดนตรี: กีต้าร์ เปียโน ฟลุต


ปี พ.ศ. 2520 - ปัจจุบัน




สุรสีห์ อิทธิกุล เป็นหนึ่งในนักร้อง นักดนตรีชาวไทย ผู้พลิกยุคสมัยแห่งดนตรีของประเทศไทย มาสู่ดนตรีในแนวสากล มีผลงานทางดนตรีอัลบั้มเพลงส่วนตัวมาแล้ว 4 ชุด และเพลงประกอบภาพยนตร์ ละคร หรือ โฆษณาอีกมากมาย




สุรสีห์ อิทธิกุล สำเร็จการศึกษา ทางด้านดนตรีและการเรียบเรียงเสียงประสานจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2517 แล้วกลับมารับราชการที่กองดุริยางค์ทหารบก เป็นเวลาสองปี เริ่มเส้นทางดนตรีจากการร่วมงานกับ อ. ดนู ฮันตระกูล ตั้งบริษัทบัตเตอร์ฟลาย และโรงเรียนสอนดนตรี ศศิลิยะ (ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อ เป็นบัตเตอร์ฟลาย) ผลิตงานเพลงออกมา 3 อัลบั้มควบคู่ไปกับการทำเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง "วัยระเริง" (นำแสดงโดยอำพล ลำพูน) อยู่ในอัลบั้ม "ยุโรป" โดยมีเรวัติ พุทธินันทน์ เป็นโปรดิวเซอร์ หลังจากนั้น "บัตเตอร์ฟลาย" ได้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ "เงิน เงิน เงิน" เพลงประกอบละครและเพลงประกอบโฆษณาอีกมากมาย




ในปี พ.ศ. 2528 สุรสีห์ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกชื่อ "กัลปาวสาน" ด้วยความทันสมัยของเสียงร้องและเสียงดนตรี การนำเสนอแนวคิดของเนื้อเพลงจากปลายปากกาของ เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ แนวดนตรีซึ่งมีกลิ่นอายของ Jazz และ Progressive และการมิกซ์เสียงที่ต่างไปจากที่มีอยู่ในสมัยนั้น ทำให้อัลบั้มนี้เป็นผลงานที่ยังคงความน่าสนใจจนกระทั่งปัจจุบัน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายนัก



ปี พ.ศ. 2533 มีอัลบั้มชุดที่ 2 "คนดนตรี" เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขา มีเพลงเด่นหลายเพลงเช่น "ปราสาททราย" "ต้นไม้" และ "ตะเกียง"



ปี พ.ศ. 2535 มีอัลบั้มชุดที่ 3 "พอดี พอดี" มีเพลงเด่นคือ "พอดี พอดี" "ไกล" และ "ทิ้งฝัน" อัลบั้มนี้ได้เข้ารอบเป็น 1 ใน 5 ศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยมรางวัลสีสัน อะวอร์ด



ปี พ.ศ. 2536 มีอัลบั้มรวมฮิต "รวมจินตนาการของคนดนตรี"



ปี พ.ศ. 2537 มีอัลบั้มพิเศษ เป็นงาน cover เพลงของวง "The Beatles"



หลังจากหายไปจากวงการดนตรีเกือบ 6 ปี ในปี พ.ศ. 2543 เขาก็ได้ออกอัลบั้มที่ 4 ที่ใช้ชื่อว่า "Project Album" เป็นแนว Progressive Rock มีเพลงเด่นคือ "ยอมจำนน" "สายน้ำ" "คุ้มกันไหม" และ "ฅน"




>

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์


ชื่อจริง: เรวัต พุทธินันทน์ ( Rewat Buddhinan)
วันเกิด: 5 กันยายน 2491
ถึงแก่กรรม: 27 ตุลาคม 2539
การศึกษา: ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาการเงินการธนาคาร มหาวิทยาธรรมศาสตร์
กีฬาที่เล่น: เทนนิส, สนุ้กเกอร์
แนวเพลงโปรด: Modern Jazz, Jazz Rock, Funky
เครื่องดนตรีที่เล่นได้: คีย์บอร์ด, กีตาร์

ประสบการณ์ ด้านดนตรี:

2515 เข้าร่วมเป็นสมาชิกวง ดิ อิมพอสสิเบิ้ล (THE IMPOSSIBLE) ในตำแหน่งร้องนำ และคีย์บอร์ด เดินทางไปแสดงคอนเสิร์ต ที่รัฐฮาวาย
2516-2519 วง ดิ ดิมพอสสิเบิ้ล ตระเวนแสดงคอนเสิร์ต ในประเทศแถบยุโรป สแกนดิเนเวีย เช่น ประเทศสวีเดน,นอร์เวย์ และฟินแลนด์ (ก่อนจะยุบวง ในปี 2520)
2520 ร่วมกับ วินัย พันธุรักษ์ ก่อตั้งวง ดิโอเรียนเต็ล ฟั้งค์ (The Oriental Funk) และรับตำแหน่งนักร้องนำ และซินธีไซเซอร์ เล่นประจำที่โรงแรมมณเฑียร
2525-2526 ทำหน้าที่ผู้ช่วยอัดเสียง ที่ห้องอัดเสียง JBL ก่อตั้งบริษัท อาร์ เอ็น เอ โปรดักชั่น ผลิตงานเพลง และดนตรี เป็นตัวแทนประเทศไทย ร่วมร้องเพลงที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
2526 ร่วมก่อตั้งบริษัทแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการฝ่ายผลิต - โปรดิวเซอร์งานเพลงทั้งไทย และสากล ให้กับศิลปินหลายคน เช่น พญ.พันทิวา สินรัชตานนท์ (ศิลปินคนแรกของค่ายแกรมมี่),นันทิดา แก้วบัวสาย, ฐิติมา สุตสุนทร, ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นต้น

เรวัต พุทธินันทน์ บุคคลที่ผูกพันธ์อยู่กับดนตรี จนหล่อหลอมแนบสนิทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นศิลปิน และผู้สร้างสรรค์คนสำคัญ ที่ทำให้วงการเพลงไทยก้าวหน้า

เรวัต พุทธินันทน์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 5 กันยายน 2491 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นาวาตรีทวี และนางอบเชย พุทธินันทน์ เริ่มการศึกษาที่ โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และจบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ สาขาการเงินการธนาคาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เครื่องดนตรีชิ้นแรก ที่เรวัตเริ่มเรียนคือ แซ็กโซโฟน หลังจากนั้นจึงตามมาอีกหลายชิ้น อันเนื่องมาจากใจรักที่ บ่มเพาะอยู่ภายใน และความสามารถพิเศษ ที่เรียกได้ว่าพรสวรรค์ ทำให้เขาไปได้ไกลทางด้านดนตรี ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรวัตและเพื่อน ได้ตั้งวงดนตรีชื่อ Dark Eyes รับเล่นตามงานสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Mosrite และได้เข้าประกวดดนตรี ในงานของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในปี 2508 และ2509

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2510 เรวัตได้ร่วมกับเพื่อน ตั้งวงดนตรีชื่อ Yellow Red ซึ่งเพื่อนสนิทสองคน ที่ร่วมวงอยู่ด้วยคือ ดนู ฮันตระกูล และ จิรพรรณ อังศวานนท์ ต่อมาเมื่อ Yello Red สลายตัวไป วง The Thanks จึงเกิดขึ้นมาแทน โดยเรวัต เป็นตัวตั้งตัวตีรวบรวมเพื่อนๆ นักดนตรีในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นมี กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา ร่วมอยู่ด้วย The Thanks ออกแสดงตามงานของมหาวิทยาลัย และงานอื่นๆ เสมอ ความเป็นวงดนตรีนำสมัย เล่นและร้องเพลงเต้นรำสมัยใหม่ ทำให้วงนิสิตนักศึกษาอย่าง The Thanks ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น และได้รับการติดต่อ ให้ไปแสดงสลับกับวงดนตรีดังอย่าง สุนทราภรณ์ และ The Impossibles

ต่อมาเมื่อเรียนจบจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรวัตได้รับการติดต่อชักชวนจากวง The Impossible ให้เดินทางไปร่วมแสดงที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งนักร้องนำ และมือคีย์บอร์ด หลังจากนั้นก็ตระเวนเล่นดนตรี ในประเทศยุโรป สแกนดิเนเวีย และหลังสุดคือ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เรวัตเป็นสมาชิกวงดิ อิมพอสสิเบิ้ลอยู่ 4 ปี หลังจากยุบวงในปี 2520 วินัย พันธุรักษ์ จึงชักชวนเรวัต ตั้งวงดนตรีชื่อ The Oriental Funk ตระเวนเปิดการแสดงในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ในระหว่างนั้น เรวัตก็ได้ศึกษาการเขียนเพลง และดนตรีเพิ่มเติม ก่อนจะกลับมาเล่นประจำที่ คลับคาซาบลังกา โรงแรมมณเฑียร The Oriental Funk ร่วมกันเล่นดนตรีอยู่ประมาณ 4 ปี ก่อนจะถึงจุดอิ่มตัว ที่สมาชิกทุกคนแยกย้ายกันไป ทำงานส่วนตัว เรวัตเริ่มทำงานเบื้องหลัง เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับค่ายเพลง และตั้งบริษัทกับวินัย พันธุรักษ์ ทำงานเพลงโฆษณา เพลงประกอบภาพยนตร์

ด้วยความสามารถ และประสบการณ์ทางด้านดนตรี ที่สั่งสมมาเนิ่นนาน กอรปกับแนวคิด ที่จะพัฒนาวงการเพลงไทย ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ในระดับนานาชาติ เรวัตจึงได้ตัดสินใจร่วมกับไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ก่อตั้งบริษัทแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ขึ้น ในปี 2526 สร้างสรรค์งานเพลง และผลิตศิลปิน ตลอดจนผลักดันวงการดนตรี ที่เคยถูกมองข้าม ให้กลายเป็นอาชีพ และธุรกิจศิลปะที่ได้รับการยอมรับ

นอกจากบทบาทนักบริหาร ที่สามารถผสมผสาน "ศาสตร์" และ "ศิลป์" ไว้ในตัวตนได้อย่างกลมกลืนลงตัว เรวัต พุทธินันทน์ ยังมีหัวใจของศิลปินอย่างเต็มเปี่ยม เป็นผู้สร้างสรรค์งานเพลงไทยแนวใหม่ อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เรวัตได้สร้างสรรค์อัลบั้มคุณภาพ ของเขาเองไว้ 4 อัลบั้มด้วยกัน คือ อัลบั้ม "เต๋อ 1" , "เต๋อ 2" , "เต๋อ 3" และ "ชอบก็บอกชอบ" ว่ากันว่า เนื้อเพลงที่เรวัต พุทธินันทน์ เขียนขึ้นนั้นเป็นมากกว่าเพลง เพราะเปี่ยมไปด้วยแนวคิด ปรัชญา และคุณค่าของชีวิต ทำนองและดนตรี ที่เขาประพันธ์ขึ้นยังร่วมสมัยจนปัจจุบันนี้

บทบาทในฐานะศิลปิน และผู้สรรค์สร้างของเรวัตยังมีอีกหลากหลาย ทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์ ผู้ประพันธ์คำร้อง และทำนองเพลงนับร้อยเพลง ผู้สนับสนุน และผลักดันนักร้องและนักดนตรีหลายต่อหลายคน ทั้งเพื่อน พี่และน้อง ให้ก้าวไปบนเส้นทางดนตรี อย่างราบรื่น และมั่นคง ตำแหน่งสุดท้ายของ เรวัต พุทธินันทน์ ในบริษัท คือ ประธานกรรมการบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด มหาชน

เรวัต พุทธินันทน์ สมรสกับ อรุยา (สิทธิประเสริฐ) พุทธินันทน์ ในปี 2517 ทั้งสองรักกัน ตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักศึกษา อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก และมีบุตรสาวด้วยกันสองคน คือ สุทธาสินี (แพ็ท) และ สิดารัศมิ์ (พีช) พุทธินันทน์

เรวัต พุทธินันทน์ จากไปอย่างสงบเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 27 ตุลาคม 2539 ท่ามกลางความอาลัยของครอบครัว คนรอบข้าง เพื่อน พี่ และน้องที่ร่วมเส้นทางชีวิต และเส้นทางสายดนตรี ทว่าผลงานที่ เรวัตได้สร้างสรรค์ไว้ ก็ยังคงอยู่และได้รับการขับขาน ครั้งแล้วครั้งเล่า เจตนารมณ์ที่เรวัตตั้งใจไว้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ยังได้รับการสานต่อ

"มูลนิธิเรวัต พุทธินันทน์" จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ และเพื่อสืบทอดความตั้งใจ ของเรวัตที่ต้องการจะส่งเสริม และสนับสนุนให้เยาวชนไทย ได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ในทุกๆ ด้านของดนตรี โดยทางมูลนิธิ ได้ร่วมกับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสร้าง "ห้องสารนิเทศทางดนตรี เรวัต พุทธินันทน์" ขึ้น เพื่อให้บริการความรู้ ด้านดนตรีแก่คนรุ่นหลัง ตามที่ เรวัต พุทธินันทน์ เคยตั้งปณิธานไว้


ผลงานเพลง

ปีxxxx เรวัติ พุทธินันท์ และคีตกวี อัลบั้ม"เรามาร้องเพลงกัน"

ปี2526 เต๋อ1

ปี2528 เต๋อ2

ปี2529 เต๋อ3 ,บันทึกการแสดงสดคอนเสิร์ต"ปึ๊ก"

ปี2530 ชอบก็บอกชอบ

ปีxxxx เพลงประกอบละคร "รักในรอยแค้น"

ปี2549 อัลบัม BELOVED MEMORIES OF REWAT BUDDHNAN


ผลงานอื่นๆ

ละครโทรทัศน์

  • สงครามประสาท
  • ข้าวนอกนา
  • ตุ๊กตาแก้ว
  • วิหคหลงรัง

ภาพยนตร์

  • น้ำพุ
  • เพื่อน

ภาพยนตร์โฆษณา

  • อเมริกันเอ็กซ์เพรส ชุด "PORTRAIT" (รายได้มอบให้กับ มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง เพื่อช่วยเหลือคนพิการทางสมอง)

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสก โลโซ


ชื่อจริง : เสกสรร ศุขพิมาย (เสก) Seksan Sookpimay

ตำแหน่ง : กีตาร์, ร้องนำ

วันเกิด : 7 สิงหาคม 2517

ราศี : กรกฎ

แนวเพลงโปรด : Rock, Pop, Blues

ศิลปินที่ชื่นชอบ : Steve Vai, Mariah Carey, Gun 'N' Roses

ความสามารถทางดนตรี : กีต้าร์, คีย์บอร์ด, เปียโน, เบส

ประสบการณ์ทางดนตรี : เล่นดนตรีอาชีพในผับ, ออกเทปในนามของวง LOSO และผลงานเดี่ยวในเวลาต่อมา



เสก เริ่มต้นขึ้นมาจากการรวมตัวเป็นวงดนตรีร๊อก ที่ถือกำเนิดในช่วงดนตรี Alternative ที่ได้รับความนิยมในบ้านเราอย่างสูงเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว มีวงดนตรีแจ้งเกิดขึ้นมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งของจริงและแฟชั่นหล่อหลอมรวมกัน เป็นยุคหนึ่งของวงการเพลงไทย เป็นเวลาที่ให้พวกเขาได้พิสูจน์ ถึงฝีมือและความสามารถทางด้านดนตรีออกมา จนสามารถแจ้งเกิดได้ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก โดยไม่มีองค์ประกอบของรูปร่างหน้าตามาเป็นส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว พวกเขาพกพาดนตรีร็อกมันส์ๆ สื่อสารง่ายๆ เพียงแค่กีต้าร์ ,เบส และกลอง กับเพลงอะคูสติคบัลลาด อย่าง "ไม่ต้องห่วงฉัน" จากอัลบั้ม โล โซไซตี้ คือเพลงที่ ทำให้ความเหนื่อยล้าบนเส้นทางสายดนตรีของพวกเขาหายไป พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ และความสำเร็จที่พวกเขาคาดไม่ถึง...



อดีตมันต้องมีที่มา สำหรับวงดนตรีวงนี้ มีชายหนุ่ม 3 คน รวมตัวกันเล่นดนตรีภายใต้ชื่อว่า โลโซ "LOSO" ซึ่งประกอบไปด้วย เสก เสกสรร ศุขพิมาย หนุ่มผู้มีวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่าง คาราบาว เป็นฮีโร่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้างานของเขาจะมีกลิ่นอายของ คาราบาว ผสมอยู่ด้วย เสก มีความเชื่อมั่นในเรื่องของดนตรีว่าเขาจะอยู่กับมันไปตลอด "เรารักในการร้องเพลง ในการเล่นดนตรี เราก็คงทำ ไม่ได้หมายถึงทำธุรกิจ คงไม่ถนัดเท่าไร ผมก็เล่นดนตรีกันต่อไป" ทุกวันนี้เขาเป็นแกนหลักที่วงมิอาจขาดเขาได้ เพราะ เสก คือ นักร้องนำและคนแต่งเพลงทุกเพลงของวงโลโซ ทำให้เพลงของโลโซ กลายเป็นเอกลักษณ์ทั้งใน เสียงร้อง และ เนื้อหา ที่มาจากการแต่งของเสกและเมื่อคนฟังได้ยิน ก็รู้ทันทีว่า นี่แหละคือ โลโซ



คนต่อมา มือกลอง กิตติศักดิ์ โคตรคำ หรือ ใหญ่ ที่ซึมซับกับความรักดนตรีจนหันมาเล่นเป็นอาชีพในที่สุด " มันก็พัฒนาไปตาม.. ก็เหมือนกับ ถ้าน้องชอบเตะฟุตบอลแสดงว่าเราชอบตั้งแต่เด็กล่ะ แล้วก็จะอยากเป็นให้ได้ แล้วพวกเราก็เป็นอย่างนั้นจริง" เขากับเสกก็เป็นนักดนตรี ซึ่งต่างก็มาจากคนละที่คนละทาง แต่เส้นทางของนักดนตรีทำให้เขาได้มาพบกันซึ่งถึงแม้ว่าจะเล่นกันคนละวง จังหวัดจันทบุรีนั้นจึงถือ เป็นการเริ่มต้นทำให้เขาทั้งสองได้รู้จักกัน "เล่นคนละที่นะ แต่ก็พักอยู่ที่เดี่ยวกัน ที่อพาตเมนต์เดียวกัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป"


คนสุดท้าย คือ รัตน์ อภิรัฐ สุขจิตร์ มือเบส ของวง ที่ไม่ต่างจากสองคนแรก ด้วยใจรักดนตรี ตั้งแต่ยังเด็ก รัตน์เริ่มจับกีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกตั้งแต่อายุ 15 ขวบ เรื่อยมาจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ในสาขาช่างยนต์ จบออกมาทำงานอยู่อู่ซ่อมรถได้ปีกว่าๆ " ทำงานอยู่อู่นี่ประมาณซัก ปีกว่า ๆ เป็นอู่ของรถ โตโยต้าเนี่ย เป็นช่างซ่อมรถยนต์ แต่ว่าไม่ค่อย น่ะครับ ผมมีความรู้สึกว่า มันไม่ไช่ตัวผม อาจจะเรียนมาทางนี้โดยตรงแต่ว่า ดูแล้วมัน ..." วันหนึ่งมีเพื่อนที่ชื่อ กอล์ฟ ได้มาหาที่อู่ มาชวนไปเล่นดนตรี (สำหรับเพื่อนคนนี้นั้นปัจจุบันเขาเป็นมือเบส ของวง Y Not 7 นั่นเอง) " กอล์ฟ นี่เขาเรียนอยู่ช่างศิลป เขาจะมาซ้อมดนตรีที่ มหาลัยสยาม ก็เป็นเพื่อนกัน คลุกคลีกันมาตลอด แล้วก็มาทำวง วงแรก" เขาทั้งสองคนเริ่มต้น ใช้ชื่อวงว่า" โฟกัส" ซึ่งสมาชิกก็มี กอล์ฟ (ตอนนั้นเล่นกีต้าร์) รัตน์ เล่นเบส และก็เจ้า บ็อกซ์ ไฟฟ้า 1 ตัว ทั้งสามเริ่มรับจ้างเล่นตามผับเป็นจริงเป็นจัง เริ่มจากหน้ารามจากนั้นก็ผจญภัยไปตามทางนักดนตรีอาชีพ เปลี่ยนที่ไปเรื่อยเป็นเวลา 3 ปีกว่า ที่รัตน์และ กอล์ฟ ได้ร่วมงานกัน จนถึงวันที่ต้องจบลง เมื่อกอล์ฟ ออกไปทำวง Y Not 7 ส่วน รัตน์ เดินทางสู่จังหวัดจันทบุรี ที่เขาได้พบกับเสกและใหญ่ที่นี่



เมื่อ คนสามคน มาจากต่างที่กัน แต่มีความรักในสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องของดนตรี ทำให้เดินทางมาพบกันโดนมิได้นัดหมายที่จังหวัดจันทบุรี ถ้าจะเริ่มเรื่องราวของวงโลโซ จังหวัดจันทบุรี คือที่แรกที่จะบอกความเป็นมาได้ แม้ว่าจะอยู่กันคนละวง เล่นกันคนละที่ พวกเขาก็เจอกันทุกวันเพราะว่าอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ตอนนั้น ทั้งสามก็คือเพื่อนร่วมอาชีพ ที่มักจะใช้เวลาหลังเลิกงานพูดคุยแลกเปลี่ยน สิ่งต่างๆ ซึ่งกัน แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ละคนก็ต่างคนต่างไป เริ่มเดินทางแยกย้ายกันอีกครั้ง เสกและใหญ่ ไปเล่นดนตรีด้วยกัน ที่จังหวัดนครสวรรค์ ในขณะที่รัตน์ ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่จันทบุรีต่อไป อาชีพนักดนตรีดูเหมือนจะไม่สามารถอยู่ประจำได้นานเท่าไรนัก



หนึ่งปีต่อมาก็ถึงเวลาของรัตน์บ้างแล้ว เขาหมดสัญญาการเล่นดนตรีที่จันทบุรี และได้ย้ายขึ้นเหนือสู่จังหวัดลำปาง เพื่อความต่อเนื่องในอาชีพนักดนตรีต่อไป และการเดินทางมาที่นี่ เขาได้พบกับเสกอีกครั้ง อนาคตในการเล่นดนตรีร่วมกันของเขาทั้งสามจึงมีความเป็นไปได้มากขึ้น " จุดสำคัญเลยที่ลำปาง เสกเขาทำวงขึ้นมาใหม่ ตอนแรกเขาเล่นอยู่นครสวรรค์ แล้วเขาก็ขึ้นมาเล่นที่ลำปาง คือเล่นอยู่ผับ เบตง ใกล้ๆ กับผมเหละ ได้เจอกัน เขาบอก เขามีบ้านพัก เป็นบ้านหลังใหญ่ อยู่หลังหนึ่ง เขาก็บอก "พี่รัตน์ไปอยู่กับผมดีกว่า มีห้องอยู่ ว่างอยู่ห้องหนึ่ง " ผมก็ไปอยู่กับเขา แต่เล่นคนละวงนะ เสกเขาอยู่วงเดียวกับใหญ่" บ้านหลังนี้ เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ ที่มีแต่นักดนตรีอาศัยอยู่ " เราคุยกันเรื่องดนตรี คุยกันเรื่องสนุกสนานกัน ถูกคอกัน แล้วช่วงนั้นก็มีวงนากาอยู่ด้วย พวกตาโจ้ พวกไอ้แปด ผม อยู่คลุกคลีด้วยกันหมด บ้านหลังเดียวกันพูดง่ายๆ" ความสนิทสนม รู้ใจกัน ในเรื่องของดนตรีและนิสัยส่วนตัว ทำให้ความคิดที่จะเล่นดนตรีด้วยกันจึงเกิดขึ้น "พี่รัตน์ เฮ้ย เราน่าจะมาทำเพลงด้วยกันซักชุดนะ" รัตน์ ยังจำได้กับประโยคนี้ เมื่อเสก ชวนเขาในเช้าวันหนึ่ง แต่ความรู้สึกของเขาตอนนั้นยังไม่ได้ตอบรับในทันที "เฮ้ย จะเป็นไปได้หรือวะจะทำวง นี่ ผมก็คิดในใจว่าจะเป็นไปได้หรือวะ"



หลังจากที่สัญญาในการเล่นดนตรีที่จังหวัดลำปางหมดลง พร้อมกัน ทั้งสามก็ตัดสินใจเดินทางมากรุงเทพฯ โดยมีเงินติดตัวมาไม่กี่บาท ด้วยหวังจะมาหาอนาคต และความสำเร็จที่นี่ แต่มันก็ไม่เป็นดังหวัง ใน 2-3 เดือนแรก พวกเขาหางานไม่ได้ จึงแยกย้ายกันอีกครั้ง ด้วยเหตุเพราะเงินที่ติดตัวมาเริ่มหมดลง " ผมกับเสกและใหญ่ ลงมากรุงเทพ ฯ และก็ไม่มีงาน ต่างคนต่างเคว้งคว้างอยู่ เสกเขามาพักอยู่บ้านผมที่กรุงเทพ อยู่ด้วยกันประมาณซักเดือนหนึ่ง เพื่อนเสกมาบอก ให้เสกมาเล่นกีต้าร์ให้หน่อย เสกก็ไปเล่นกับเพื่อนอีกที่หนึ่ง ใหญ่ก็ไปเล่นเป็นแบ็คอัพให้กับมิคกี้" เมื่อต่างคนต่างไปคนละทางตามภาวะจำยอม และ รัตน์ ก็ต้องเดินทางออกจากกรุงเทพฯ อีกครั้ง สู่อรัญ ไปเล่นอยู่กับ กอล์ฟ อีกครั้ง จนเมื่ออะไรต่างๆ เริ่มดีขึ้น สิ่งที่พวกเขาเคยคิดไว้ด้วยกัน จึงถูกดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง... หนึ่งปีที่ผ่านไป ในขณะที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว เสกมีเพลงที่แต่งไว้ ใหญ่ก็พร้อม รัตน์ก็ถูกชวนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อร่วมกันทำเพลงอีก ในที่สุดจึงได้เดโมออกมาหนึ่งชุด ซึ่งถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของพวกเขาในตอนนั้น และใครเลยจะรู้ ว่าเดโมชุดนี้จะกลายเป็นเงินล้านสำหรับพวกเขา เมื่อมันถูกนำมาทำเป็นอัลบั้มออกสู่คนฟังทั่วไป ทีนี้เหลือแต่การเดินเข้าหาค่ายเทป ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่าจะไปเสนอใครเหมือนกัน ในระหว่างนั้น ก็ไปเล่นเป็น แบ็กอัพ ให้กับ แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ตอนที่แท่ง ออกอัลบั้มเพลงออกมา เป็นการกระเถิบเข้ามาใกล้ความจริงของพวกเขาเข้าไปทุกทีกับค่ายเทป และในที่สุด ทั้งสามคนจึงได้นำเพลงของตัวเองเสนอยังค่ายเพลงที่เพิ่งเปิดใหม่ ตามคำแนะนำของ แท่ง ค่ายเพลงที่นำโดย นักดนตรีที่เป็นขวัญใจของพวกเขาทั้งสามคน นั่นคือ มอร์ มิวสิค ของ อัสนี โชติกุล " ศักดิ์สิทธิ์ ก็แนะนำว่า บริษัท มอร์ มิวสิก นี่เปิดโดย พี่ป้อม ซึ่งเป็นคนที่เราชอบอยู่แล้ว เราก็เอาเดโมที่เราทำ มาเสนอที่ค่ายมอร์ มิวสิค พี่ป้อม เขาชอบก็เลยได้ออกชุดแรก" เสก บอก


ในที่สุดวงดนตรีร็อกวงใหม่ ภายใต้ชื่อ โลโซ ในนิยามของความเรียบง่าย สบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ที่เสกเป็นคนคิดขึ้นมา และ รัตน์บอกว่า เสกคิดถูกแล้วที่ตั้งชื่อวงว่า โลโซ เพราะว่าเหมาะกับเขาทั้งสามมาก อัลบั้มแรกของ โลโซ ชื่อ โลโซไซตี้ เมื่อปี 2539 เรียกว่ามาได้ถูกจังหวะพอดี เมื่อช่วงนั้นกระแสดนตรี เปลี่ยนจาก bubble gum เข้ามาสู่ยุคของดนตรีร็อก ที่เน้น performance มากกว่ารูปร่างหน้าตา นั่นทำให้ โลโซ ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ เพลงของพวกเขาเป็นเพลงร็อกแอนด์โรล มันส์ๆ และฟังง่าย มีเมโลดี้ที่ติดหู เข้ากลุ่มคนฟังเพลงส่วนใหญ่ ทำให้ชื่อเสียงและความสำเร็จ ทั้งเงินและกล่อง พุ่งเข้ามายังพวกเขาจนแทบตั้งตัวไม่ทัน "ผมดีใจนะครับ พวกเราดีใจ และช่วงนั้นเป็นช่วงที่เค้าต้อนรับ คนที่มีครีเอท มีฝีมือ" ไม่ต้องห่วงฉัน คือเพลงที่แสดงความเรียบง่ายและโรแมนติก โดยใจวัยรุ่น ดังที่สุดของพวกเขา และน่าจะกลายเป็นเรื่องความสำเร็จยังตามติดตัวพวกเขาอยู่ตลอดไม่หนีไปไหน สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าอัลบั้มแรกของ โลโซ ประสบความสำเร็จจริง คือการที่ พวกเขาส่งเพลงพิเศษใส่เพิ่มเข้าไปในอัลบั้ม ซึ่งเหมือนกับเป็นวัฒนธรรมในวงการดนตรีไทยเลยก็ว่าได้ เมื่ออัลบั้มขายดีการเพิ่มเพลง เปลี่ยนปกก็จะเกิดขึ้น



ต้นปี 2540 พวกเขาก็กลับมาอีกครั้ง กับอัลบั้มพิเศษ อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง จักรยานสีแดง แม้จะเป็นอัลบั้มเฉพาะกิจ แต่ก็ยังทำได้ดีในเรื่องความนิยม เสกได้สร้างเอกลักษณ์ในเรื่องน้ำเสียงและเนื้อหาของเพลงที่เป็นแบบฉบับของ โลโซ ขึ้นมา ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว " เราก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเรากลายเป็นคนดัง ความเป็นส่วนตัวก็น้อยลง เพราะว่านี่เเหล่ะ ทุกคนก็ชื่นชอบ แล้วเราก็กลายเป็นคนของประชาชน คือการใช้ชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่อยากจะเป็นนักร้อง อยากจะเป็นดารา เป็นคนของประชาชน ความเป็นส่วนตัวก็ต้องลดน้อยลง"



ผ่านไปอีกหนึ่งปี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2541 อัลบั้ม โลโซ เอ็นเตอร์เทนเม้น เป็นงานชุดที่ 3 ก็ออกมาสู่คนฟังอีกครั้ง เพลง ซมซาน,อะไรก็ยอม,เลิกแล้วต่อกัน และอีกหลายๆ เพลง บางคนอาจมองว่างานพวกเขายังคงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดความแรงยอดขายอัลบั้มชุดนี้ได้ พอปลายปี 2541 เวลาสำหรับอัลบั้ม รวมเพลงของพวกเขาก็ออกมา ชื่อว่า Best of LOSO เป็นงานรวมเพลงตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก,อัลบั้มพิเศษ และ โลโซ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และหลังจากนี้ความเปลี่ยนแปลง ภายในวงโลโซ เริ่มเกิดขึ้น มีข่าวลือต่างๆ มากมาย เมื่ออัลบั้มชุดต่อมาของ โลโซ ไม่มี รัตน์ เพราะรัตน์ต้องขอพักเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ แต่วงโลโซต้องเดินหน้าต่อ อัลบั้มชุดที่สี่ จึงออกวางเมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2542 ชื่อว่า ร็อก แอนด์ โรล โดยมีคนที่เข้ามาแทน การทำงานในตำแหน่งเบสของรัตน์นั้น คือ กลาง ณัฐพล สุนทราณู ซึ่ง ก็เป็นเพื่อนๆกัน อัลบั้มนี้โลโซดึงเอาความเป็นอเมริกันร็อกเข้ามาเพิ่มสีสันทางอารมณ์ดนตรี เข้าไป แต่ยังคงความเป็นร็อกไทยแบบโลโซไว้ เช่นเดิม พวกเขามีงานมากขึ้น



การทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ทำโลโซได้ใกล้ชิดกับแฟนเพลงมากขึ้น จากนั้นอีกหนึ่งปีกว่าๆ โลโซ จึงกลับมาอีกครั้ง ด้วยอัลบั้มชุดใหม่ที่มีชื่อว่า โลโซ แลนด์ ตอนนี้พวกเขาสามารถขยายขอบเขตทางดนตรีให้กว้างมากขึ้น ตั้งแต่งานชุดแรกยังเป็นเพียงแค่ โลโซไซตี้ เป็นสังคมเล็ก ๆ กลุ่มคนเล็กๆ อัลบั้มชุดนี้เพิ่งจะออกไปเมื่อต้นปี 2544 นี้เอง ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาที่นักร้องและศิลปินทุกคนต้องเผชิญ นั่นก็คือการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง ซึ่งพวกเขาได้รับผลกระทบพอสมควร และแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะไม่แรงเท่าชุดก่อนๆ ในเรื่องยอดขาย มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดท้อหรือจะเลิกทำงานเพลงเลย ไฟทางดนตรียังคงมีอยู่อย่างเต็มที่ " ผมคิดว่าทุกคนจะต้องมีอุปสรรคครับ อยู่เพียงว่าเราจะต่อสู้กับมันได้ยังไง แล้วเราก็จะคงความมั่นคง กับสิ่งที่เรามุ่งไปอย่างไร นั่นคือสิ่งสำคัญกว่า สำคัญกว่า การที่เราว่า ไอ้ตรงนี้มันเป็นอุปสรรค อันนี้ไม่เป็นอุปสรรค ทุกคนเจออุปสรรคแน่นอน ไม่ว่าจะงานอะไร เพียงแต่ว่า จุดมุ่งหมายของเรา เรามั่นคงกับมันแค่ไหน ไม่ใช่พอจะมุ่งไปทางนี้เนี่ย ตรงนี้มีอุปสรรคสะพานหัก เราก็ ย้ายมานี่ก็ตรงนี้ไม่แน่ อาจจะเจอถนนที่ขาด หรือว่าอะไรเงี้ย ฉะนั้น ก็จะเดินไปไม่ถึงซักที เพราะฉะนั้น เราต้องมุ่งไปทางนี้ สะพานขาดเราก็ต้องว่ายนำข้ามไปอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง และก็มุ่งตรงไป ทุกคนมีปัญหาหมด ทุกงานมีปัญหาหมด" สิ่งที่ยืนยันคำพูดของเสกได้ดี คือ อัลบั้ม โลโซปกแดง อัลบั้มชุดที่ 7 ของพวกเขาออกมา ทั้งๆที่ โลโซ แลนด์ ยังไม่ทันจาง พร้อมกับเซอร์ไพรส์การกลับมาอีกครั้งของรัตน์ " เราติดต่อกันตลอด ไม่โทรศัพท์ ก็มาหากันตลอด คือเราสามคนรู้ดี มาหากันตลอด บางทีก็โทรมา เฮ้ย รัตน์อยู่ไหนวะ อยู่บ้าน บางทีก็มาหาเลย" มิตรภาพของทั้งสาม ยังมีอยู่อย่างเข้มข้น การติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เหตุการณ์ในอดีตที่ลำปางย้อนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง เสกเอ่ยชวนรัตน์มาทำเพลงกันอีก และอัลบั้มชุดนี้จึงเกิดขึ้น พร้อมกับความตั้งใจที่จะสร้างความใหม่ๆ และเพิ่มสีสันในดนตรีแบบของโลโซเข้าไป



ต่อมาในปี 2546 แฟนเพลงของโลโซก็ถึงกับใจหาย เมื่อ เสก ประกาศหยุดพักวงชั่วคราว เพื่อไปประเทศอังกฤษ และเรียนภาษาและดนตรีเพิ่มเติม หลังจากนั้นกลับมารับโฆษณาเครื่องดื่มบำรุงกำลังและ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก และ กลับไปลอนดอนอีกครั้ง เรียนเรียบเรียงเสียงประสานที่โรงเรียน Hampstend


ปัจจุบัน เสก ได้ทำอัลบั้มเดี่ยว ชื่ออัลบั้มว่า SEK LOSO ชุดที่12 ในงานชุดนี้น่าจะบ่งบอกถึงความเป็นเสกได้ชัดเจนหลังจากที่ห่างหาย ไปจากชุดที่แล้วเป็นเวลา 2 ปีกว่าการกลับมาวันนี้งานเพลงของเสกเข้มข้นขึ้นทั้งด้านเนื้อหาและดนตรีที่ พัฒนาขึ้นไปอีก ด้วยความที่ได้ออกไปสัมผัสกับการแสดงสดเดินสายโชว์ทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ ทำให้ได้แง่มุมในการใช้ชีวิตและได้นำเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนเพลงซึ่ง ในชุดนี้มีถึง12 เพลง นับว่าเป็นความพิเศษของอัลบั้มและเป็นงานที่บ่งบอกถึงตัวตนที่หน้าติดตาม อย่างยิ่ง สำหรับคอเพลงของเสกที่เฝ้ารอ รับรองไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ปล่อยออกมา 2 ซิงเกิลที่โดนใจแฟน ที่คิดถึง เสก โลโซ อย่างเพลง ไม่ยอมตัดใจ และ เจ็บหัวใจ


ผลงานที่ผ่านมาของเสกโลโซ


ปี 2539LOSO / ALBUM: LO-SOCIETY (เมษายน.2539)

ปี 2440 LOSO / ALBUM: SPEACIAL ประกอบภาพยนตร์จักยานสีแดง (มีนาคม 2540)

ปี 2541 LOSO / ALBUM: LOSO ENTERTAINMENT (มีนาคม 2541)

ปี 2541 LOSO / ALBUM: BEST OF LOSO (ธันวาคม 2541)

ปี 2542 LOSO / ALBUM: LOSO ROCK&ROLL (ตุลาคม 2542)

ปี 2544 LOSO / ALBUM: LOSO LAND (กุมพาพันธ์ 2544)

ปี 2544 LOSO / ALBUM: LOSO ปกแดง (สิงหาคม 2544)

ปี 2546 เสกโลโซ SOLO / ALBUM: เดี่ยวชุดแรก (เมษายน 2546)

ปี 2547 ALBUM: เบิร์ดซน เบิร์ดเสก (พฤษภาคม 2547)

ปี 2548 SEK LOSO / THE COLLECTION (มิถุนายน 2548)

ปี 2549 เสกโลโซ Black & White (กรกฏาคม 2549)

ปี 2552 เสกโลโซ / ALBUM: SEK LOSO ชุดที่12.พิเศษ12เพลง (พฤษภาคม 2552)

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อัสนี-วสันต์ โชติกุล


อัสนี โชติกุล เกิดวันที่ 9 เมษายน 2498 จังหวัด เลย สูง165 เซนติเมตร
การศึกษา:

  • ระดับประถมศึกษา: โรงเรียนเมืองเลย จ.เลย
  • ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น: โรงเรียนสโมสรวิทยาลัย จ.เลย
  • ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเลยพิทยาคม จ.เลย
  • ระดับปริญญาตรี เคยศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ปี 2517
  • ศึกษาทฤษฎี : JAZZ HARMONY และTRADITIONAL HARMONY หลักสูตร “BERKLEE COLLEGE OF MUSIC” (BOSTON U.S.A.) PRIVATE LESSON จาก อาจารย์ สหัสชัย ศุภมิตร ปี 2526
  • เรียนดนตรีที่โรงเรียนศศิลิยะ กับอาจารย์ ดนู ฮันตระกูล และ อาจารย์ บรูซ แกสตัน ( BRUCE GASTON ) ทฤษฎี : ARRANGING , ORCHESTRATION และ MUSIC FOR CHILDREN หลักสูตร “CARL ORFF” ( GERMAN ) ปี 2527 - 2528
  • เรียนดนตรี หลักสูตร EAR TRAINING : ZOLTAN KODALY (HUNGARIAN)

โต๊ะ วสันต์ โชติกุล เกิดวันที่ 25 เดือน มีนาคม 2500 จังหวัด เลย
การศึกษา:
  • ระดับประถมศึกษา: โรงเรียนเมืองเลย จ.เลย
  • ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น: โรงเรียนสโมสรวิทยาลัย จ.เลย
  • ระดับปริญญาตรี: วิทยาลัยเพาะช่าง
  • ศึกษาPRIVATE LESSON จาก อาจารย์ สหัสชัย ศุภมิตร หลักสูตร “BERKLEE COLLEGE OF MUSIC” (BOSTON U.S.A.) ปี 2526
  • เรียนดนตรีหลักสูตรทฤษฎีดนตรีเบื้องต้นที่โรงเรียนศศิลิยะ จากอาจารย์อรรณพ จันสุตะ, อาจารย์จาตุรนต์ เอมซ์บุตร และ อาจารย์ธนวัฒน์ สีปสถวรณ์ ปี 2527 -2528

ทั้งคู่เป็นชาวจังหวัดเลย โดยกำเนิด และเติบโตในครอบครัวที่มีดนตรีอยู่ในหัวใจ มีคุณพ่อเป็นทนายอารมณ์สุนทรีย์ชอบเล่นไวโอลิน และเล่นประจำอยู่ในวงเครื่องสายไทยประจำจังหวัดเลยเป็นงานอดิเรก ส่วนคุณแม่เป็นคุณครู ที่รักการเล่นดนตรีเช่นกัน โดยครอบครัวอบอุ่นรักเสียงเพลง ครอบครัวนี้ มีทายาทด้วยกันทั้งหมด 4 คนด้วยกัน ซึ่ง ป้อม อัสนี เป็นพี่ชายคนที่สองในบ้าน ขณะ โต๊ะ วสันต์ เป็นทายาทคนที่ 3 ในจำนวน 4 คน ซึ่งก็ได้ซึมซับความชื่นชอบในดนตรีจากคนในครอบครัวมาเช่นกัน

หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยม อัสนีเลือกที่จะมาผจญชีวิตในเมือง ซึ่งในเวลานั้นวสันต์ ผู้น้องเข้ามากรุงเทพฯ มาเรียนวิทยาลัยเพาะช่างอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งสองพี่น้องได้ฝึกปรือฝืมือทางดนตรีจนพอเล่นให้ความเพลิดเพลินกับผู้คน ได้ จึงรับเล่นดนตรีตามผับ และร้านอาหารทั่วไป แนวเพลงโปรดของอัสนี คือ Rock' n Roll ศิลปินต่างประเทศ อาทิ The Beatles และ Yes คือ คนที่อัสนีชื่นชอบในแนวดนตรี และฝีไม้ลายมือ ขณะที่ วสันต์ หลงไหลในความนุ่มนวล พริ้วไหวของแนวดนตรี โฟล์ค และแจ๊ส โดยลาร์รี่ คาร์ลตัน คือนักกีตาร์ แจ๊ส เป็นหนึ่งในนักดนตรีคนโปรดของเขา

สองพี่น้อง เล่นดนตรีตามผับอยู่พักใหญ่จึง เข้าประกวด ในงานชิงแชมป์โฟล์คซองแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2518 และด้วยฝีไม้ลายมือ และความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นก็สามารถชนะใจคณะกรรมการ ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ในปีนั้นไปครอง ก่อนที่ อาจารย์วิมล จงวิไล หนึ่งในคณะกรรมการการตัดสินครั้งนั้น รู้สึกประทับใจในฝีมือทางดนตรีของสองพี่น้องจากเมืองเลยคู่นี้ จึงชักชวนให้ทำวง และเข้าห้องบันทึกเสียง และนี่… คือจุดกำเนิดของวง อิสซึ่น

หลังจากหาประสบการณ์ดนตรีด้วยการนำเสนอแนวดนตรีโฟล์ค ร็อค และเล่นดนตรีกลางคืนกับวงอิสซึ่นได้ระยะหนึ่ง อัสนี หนึ่งใน 2 พี่น้อง ก็แยกตัวออกมาด้วยเหตุผลที่ อัสนีอยากจะค้นหาแนวทางใหม่ๆ ในการเล่นดนตรี ประจวบเหมาะกับที่ 'เต๋อ' เรวัต พุทธินันทน์ ที่ได้รู้จักพบปะกันตามประสาพี่น้องนักดนตรีก่อนหน้านี้ ได้ชักชวนให้มาเล่นกับวงดิ โอเรียนเต็ล ฟังค์ ทำให้อัสนีได้รับประสบการณ์ดนตรีอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยเพราะแนวทางของวง ดิ โอเรียนทัล ฟังค์ เน้นเล่นเพลงแนวฟังค์กี้ เต้นรำ

ขณะที่วสันต์ อยากจะโลดแล่นต่อไปในแนวทางดนตรีโฟล์ค ร็อค กับวงอิสซึ่น ต่อไป ซึ่งเขา และอิสซึ่นนำเสนอ ผลงานอัลบั้มออกสู่คนฟัง 5 ชุด โดยผลงานที่ถือว่าประสบความสำเร็จ และเป็นที่จดจำคือ ชุดสาวตางาม และสยามสแควร์ และในบางเพลงของอิสซึ่น ถูกนำมาเรียบเรียง และขับร้องใหม่ เช่น เพลง "หนึ่งมิตรชิดใกล้"

ในส่วนของอัสนี หลังจากที่เล่นหาประสบการณ์กับวงดิ โอเรียนทัล ฟังค์ จนถึงจุดที่สมาชิกแต่ละคนมีภาระหน้าที่ของตัวเอง และจำใจต้องแยกย้ายยุบวงไป ซึ่งด้วยการที่ป้อม อัสนี เป็นนักดนตรีที่ มุ่งมั่นตั้งใจหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ แถมยังได้ขัดเกลาฝีมือทางดนตรีในช่วงที่เล่นอยู่กับวง ดิ โอเรียนทัล ฟังค์ ทำให้อัสนีกลายเป็นนักดนตรีระดับพระกาฬคนหนึ่งในวงการ จึงได้รับการทาบทามจากกลุ่ม "บัตเตอร์ฟลาย" ซึ่งเป็น กลุ่มคนดนตรีฝีมือระดับหัวกะทิในยุคนั้น มีสมาชิกวง อาทิ จิรพรรณ อังศวานนท์ สุรสีห์ อิทธิกุล ดนู ฮันตระกูล กฤษณ์ โชคทิพย์วัฒนาฯลฯ นำเสนองานดนตรี ร็อคที่เรียกได้ว่ามีคุณคุณภาพ และยังถือว่าโดดเด่น รวมทั้งแตกต่างในตลาดเพลง

อัสนียังได้ร่วมกับกลุ่ม บัตเตอร์ฟลายแต่งเพลงโฆษณาอีกหลายเพลงให้กับสินค้ายี่ห้อดังต่างๆ นอกจากนี้รับเล่นดนตรีแบ็คอัพให้ศิลปินดังในยุคนั้น อย่าง วงฮ็อทเปปเปอร์ซิงเกอร์ ของ ปราจีน ทรงเผ่า ตลอดจนพลิกผันตัวเอง ขึ้นมารับบทโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินหลายต่อหลายคน เช่น ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ในอัลบั้ม "แดนศิวิไลซ์" ที่เดินทางไปบันทึกเสียงกันถึงประเทศอังกฤษ และอัสนียังได้สร้างให้วงไมโคร กลายเป็นวงอันดับขวัญใจวัยรุ่นอันดับหนึ่งพ.ศ. นั้น กับอัลบั้ม "ร็อค เล็กๆ"

หลังจากผันตัวเองไปทำงานเบื้องหลังระยะหนึ่ง อัสนีก็ตัดสินใจ ทำผลงานเพลงตัวเองออกมา ดึงคราวนี้เขาได้ชวนวสันต์ มาร่วมผนึกกำลังเป็นนักดนตรีดูโอร็อค "อัสนี-วสันต์" นำเสนองานดนตรีชุดแรก "บ้าหอบฟาง" ในปี 2529 ซึ่งอัลบั้มนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ว่า เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดชุดหนึ่งป้อม-อัสนีกลายเป็นผู้เปิดตลาดเพลงร็อค สร้างลีลาการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ คือการลากเสียงยาว

ในปี 2530 อัสนี-วสันต์ ปั้นอัลบั้ม "ผักชีโรยหน้า" ที่สร้างความสำเร็จ และชื่อเสียงอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเพลง กระแทกใจกลุ่มแฟนเพลง ที่เรียกตัวเองว่า "จิ๊กโก๋อกหัก"อย่าง "ก็เคยสัญญา" หรือเพลงรักนุ่มๆอย่าง "หนึ่งมิตรชิดใกล้" ซึ่งอัลบั้ม "ผักชีโรยหน้า" นี้ได้รับการยกย่องจากนักฟังเพลง และบรรดานักวิจารณ์ ในประเด็นที่ เนื้อหาเพลงสามารถสะท้อนสภาพสังคมได้อย่างคมคาย รวมถึงการคิดแนวทำนอง กีตาร์โซโลที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

ถัดมาหนึ่งปี ทั้งคู่ได้ทำอัลบั้มใหม่ "กระดี่ได้น้ำ" และทยอยออกอัลบั้มใหม่ติดๆ กัน คือ "ฟักทอง" และ "สับปะรด" ในปี 2532 และ 2533 ตามลำดับ ซึ่งแต่ละอัลบั้มที่กล่าวมาก็สร้างเพลงฮิตอีกหลายเพลง สานต่อความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง

จากนั้นอัสนี-วสันต์ ได้ห่างหายจากการออกอัลบั้มไปนานถึง 3 ปี โดยให้เหตุผลว่า เป็นช่วงที่เขาต้องการพักเพื่อทบทวนตัวเอง และแสวงหาความแตกต่าง ให้กับผลงานชุดใหม่ และในที่สุดศิลปินอย่างเขาก็กลับมาสร้างสรรค์บทเพลงรับใช้สังคมในแง่มุมที่ สนุกสนาน และคมคายได้อีกครั้ง ในอัลบั้มชุด "รุ้งกินน้ำ" ซึ่งอัสนีพยายามลดทอดบทบาทกีตาร์ลง และนำเครื่องดนตรีอื่นๆ เข้ามาเสริม เพื่อเฉลี่ยความน่าสนใจให้กับเครื่องดนตรีอื่นๆ รวมถึงเนื้อหา ซึ่งอัสนี-วสันต์ก็ทำได้อย่างลงตัว จนทำให้อัลบั้มนี้ ได้รับรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี 2536 จากสีสัน อวอร์ด

หลังจาก สั่งสมประสบการณ์และชื่อเสียงมาพอสมควร ในปี 2538 อัสนีจึงตัดสินใจเปิด บริษัท มอร์ มิวสิค เพื่อส่งเสริม สร้างสรรค์ ศิลปินรุ่นใหม่ๆ ซึ่งในที่สุดพี่ป้อมของน้องๆ นักดนตรี ก็กลายเป็นพี่ป้อมอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินร็อคหน้าใหม่ หลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น โลโซ, แบล็คเฮด, ซิลลี่ ฟูลส์ และโจ-ก้อง และอีกมากมาย

จนกระทั่งปี 2540 สองพี่น้องอัสนี-วสันต์ จึงได้ออกอัลบั้มร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ในชุด "บางอ้อ" และในปี 2545 สองพี่น้องเจ้าของตำนานร็อคจากที่ราบสูง ก็ได้ฤกษ์วางอัลบั้มชุดใหม่"จินตนาการ"

และ ในปี 2545 อัสนี-วสันต์ ได้ฤกษ์วางอัลบั้มชุดใหม่ "จินตนาการ" จากนั้นทั้งคู่ได้ว่าง เว้นการทำอัลบั้มไปถึง 4 ปี เพื่อค้นหาวัตถุดิบทางดนตรี ก่อนจะสร้างงานชุดใหม่ "เด็กเลี้ยงแกะ" ที่ยังคงเข้มข้นด้วยคุณภาพ ทั้งในแง่ของเนื้อหาที่สะท้อนมุมความคิดได้คมคาย ลึกซึ้ง แทรกอยู่ในท่วงทำนอง และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์

ถัดมาปี 2550 อัสนี-วสันต์ ได้หันมาทำอัลบั้ม Acoustic ชื่อ "พักร้อน" โดยให้เหตุผลว่า อยากลองหวนไปสู่จุดเริ่มต้นที่พวกเขาสองพี่น้องได้เริ่มพื้นฐานทางดนตรีด้วย แนวโฟล์คซอง ตั้งแต่
สมัยวง อิสซึ่น จึงขอนำความประทับใจ ความทรงจำดีๆ ในวันเก่าๆ กลับมาร้องบรรเลงอีกครั้ง


นอกจากงานเพลงสะท้อนความเป็นอัสนี-วสันต์แล้ว ศิลปินจากที่ราบสูงยังทำงานเพลงเพื่อรับใช้สังคม ในวาระสำคัญต่างๆ อาทิ แต่งเพลงเชียร์ขาดใจ เพลงให้การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ จ.เชียงใหม่ ปี 2538

เพลงสำเนียงประชาธิปไตย เพื่อรณรงค์ การเลือกตั้ง ปี 2548 และหากย้อนไปไกลถึง 20 ปี อัสนี ยังเคยสร้างสรรค์เพลงเพื่อส่งแวดล้อม ชื่อ "ชีวิตสัมพันธ์" ร่วมกับ คุณยืนยง โอภากุล ปี 2531 กลายเป็นเพลงระดับตำนานที่ใช้รณรงค์ สร้างจิตสำนึกให้ตระหนักถึงความสำคัญของ ธรรมชาติ ป่าเขา และสภาวะแวดล้อมมาจนถึงทุกวันนี้

ผลงานเพลง “กรุงเทพมหานคร” จากอัลบั้มฝักทอง ที่โดดเด่นเรื่องการดีไซน์การร้อง และดนตรีนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวไทยสามารถ จดจำชื่อเมืองหลวงของประเทศได้